ไม่มีศาสนาเลยนั้นแหละคือเป็นภาษาธรรมะชั้นสูงสุด ถ้าเข้าใจแล้วความจริงสูงสุดว่าเป็นหนึ่งเดียว จะไม่มีการแตกแยกระหว่างศาสนา ไม่ดูถูกศาสนาอื่น ไม่ยกย่องศาสนาของตนเอง
มองอย่างไรให้เห็น "ความว่าง"
จะยกตัวอย่างให้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยยกตัวอย่างทางภาษาคน ภาษาวัตถุ ยกตัวอย่างเช่นน้ำ คนที่ไม่รู้อะไรก็จะเห็นว่า น้ำนี้มีหลายชนิดหลายอย่างต่างกันต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียวเช่น น้ำฝนหรือเอาตั้งแต่น้ำกลั่นในหลอดฉีดยาที่ใช้ฉีดยา แล้วก็น้ำฝนน้ำบ่อน้ำบาดาลน้ำในคลองน้ำในหนองน้ำในคูน้ำในคูสกปรกข้างถนนน้ำครำน้ำในส้วมน้ำอุจจาระน้ำปัสสาวะ ล้วนแต่เป็นน้ำๆ น้ำ
คนธรรมดาสามัญที่สุดก็จะรู้สึกว่าแหม! มันต่างกันมากก็เพราะเอาส่วนข้างนอกเป็นเกณฑ์ ถ้าคนที่มีความรู้ก็อาจจะรู้ได้ว่าในน้ำอะไรก็ตามมันมีน้ำบริสุทธิ์หรือน้ำกลั่น ถ้าเราเอาน้ำฝนมากลั่นก็ได้น้ำกลั่น เอาน้ำในแม่น้ำมากลั่นก็ได้น้ำกลั่น เอาน้ำในคูในส้วม ในน้ำครำ มากลั่นก็ยังคงได้น้ำกลั่นนั่นเอง คนที่เขามีความรู้สึกอย่างนี้ก็มองเห็นว่ามันเหมือนกันในส่วนที่เป็นน้ำ ส่วนที่ไปทำให้สกปรกนั้นมันไม่ใช่น้ำ ส่วนนั้นมันไม่ใช่น้ำที่มันไปปนเข้ากับน้ำ จนทำให้น้ำเปลี่ยนไป ส่วนนั้นไม่ใช่น้ำ เขาก็มองข้ามส่วนนั้น ก็จะเห็นน้ำ เห็นน้ำที่เหมือนกันเหมือนกันได้ในส่วนเนื้อในในส่วนใจความว่าน้ำกลั่น น้ำฝน น้ำบ่อ น้ำคลอง น้ำในส้วมน้ำอะไรก็ตามมันเหมือนกันโดยเนื้อหาสาระภายในถ้ามองดูอย่างนี้ก็จะเห็นว่าทุกศาสนาก็จะเหมือนกัน ต่างกันเพราะไปเอาข้างนอกเป็นเกณฑ์
ถ้าฉลาดยิ่งขึ้นไปอีกเอาน้ำที่บริสุทธิ์นั้นมาดูอีกทีหนึ่งเราก็จะเห็นเป็นไม่มีน้ำคือเป็นไฮโดรเจนสองหน่วยออกซิเจนหนึ่งหน่วย นี่ไม่ใช่น้ำเสียแล้วสิ่งที่เรียกว่าน้ำก็สูญไปแล้วว่างไปแล้ว แล้วมันยิ่งเหมือนกันยิ่งขึ้นไปอีกไฮโดรเจนสองหน่วยออกซิเจนหนึ่งหน่วยนี้มันเหมือนกันหมดไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ในฟ้าหรือในดินในอะไรก็ตาม สูญสภาพเป็นน้ำไปคือไม่เรียกว่าน้ำอีกต่อไป; นี่คือผู้ที่มองเห็นความจริงถึงขนาดนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีน้ำ
ไม่มีศาสนาต่างๆ ไม่มีอะไรนอกจากธรรม
เช่นเดียวกับผู้ที่เข้าถึงความจริงสูงสุดจะรู้สึกว่าไม่มีศาสนาเลย มีแต่ธรรมชาติอันหนึ่ง...ที่ไปแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ หรืออิสลามนั้นเป็นเพราะไม่เข้าถึงความจริง เช่นเดียวกับผู้ที่เข้าถึงความจริงสูงสุดจะรู้สึกว่าไม่มีศาสนาเลย มีแต่ธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าอะไรก็ได้ เรียกว่าธรรมะก็ได้ เรียกว่าความจริงก็ได้ แล้วธรรมะหรือความจริงนั้นไม่อาจจะเรียกว่าเป็นพุทธเป็นคริสต์หรือเป็นอิสลามมันเหมือนกันหมด ที่ไปแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ หรืออิสลามนั้นเป็นเพราะไม่เข้าถึงความจริง เข้าถึงเพียงภายนอกเช่นน้ำคลองน้ำโคลนน้ำอะไรทำนองนี้. พระพุทธเจ้าท่านต้องการทรงแสดงให้พวกเราเข้าใจให้เห็นถึงว่าไม่มีคนมีแต่ธรรม ฉะนั้นจึงไม่ถือว่ามีศาสนานั้นมีศาสนานี้
การที่เรามาพูดกันว่ามีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามนี้ พูดกันเอาเองทีหลังทั้งนั้น ด้วยกันทุกศาสนา เพราะศาสดานั้น ๆ แต่ละศาสนาไม่เคยเรียกชื่อศาสนาของตัวว่าอย่างนี้ อย่างนั้น เหมือนที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้เลย คงสอนไปเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้น
ฉะนั้นขอให้เข้าใจให้ดีว่าถ้ามันถึงขั้นสุดท้ายรู้ถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีแม้แต่คน มีแต่ธรรมชาติหรือมีแต่ธรรม เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอะไรได้ ธรรมนี้มันเป็นอะไรไม่ได้เป็นอื่นไม่ได้นอกจากธรรม เป็นไทยก็ไม่ได้ เป็นจีน เป็นแขก เป็นฝรั่ง เป็นอะไรก็ไม่ได้ เป็นพุทธเป็นคริสต์เป็นอิสลามเป็นอะไรก็ไม่ได้; ฉะนั้น ขอให้เข้าถึงธรรมถึงธรรมอันนี้จะถึงหัวใจของทั้งหมดของทุกศาสนาของอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งเป็นความดับทุกข์สิ้นเชิง
เรา, แม้จะเรียกตนเองว่าเป็นพุทธถือพุทธนี้ก็ไม่เข้าถึงความจริงของพุทธ รู้จักนิดเดียวรู้จักพุทธศาสนาของตัวเองเพียงนิดเดียวทั้ง ๆ ที่ว่าเป็นพุทธเป็นพระ เป็นเณร เป็นอะไรก็ตาม รู้จักแต่เปลือกชนิดที่ทำให้เห็นว่ามันต่างกับศาสนานั้นต่างกว่าศาสนานี้ เพราะตัวไม่เข้าถึงใจความแท้ของตัวจึงดูถูกศาสนาอื่นยกย่องศาสนาของตัว หรือคิดแต่ว่าเราเป็นพวกเราเท่านั้นพวกอื่นไม่ใช่พวก ผู้อื่นผิดถูกแต่เราเท่านั้นดังนี้เป็นต้น นี่เรียกว่ายังเป็นปุถุชนมาก ๆ ยังโง่เหมือนกับเด็กเล็ก ๆ รู้จักแต่ที่พุงที่ท้อง เหมือนใช้ให้เด็กเล็ก ๆ ไปอาบน้ำแล้วให้ถูสะบู่ถูขี้ไคล เด็กเล็กจะถูแต่ที่พุงที่ท้องเท่านั้นไม่รู้จักถูให้ทั่วตัว ตามง่ามมือง่ามเท้าอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้จักจะขัดสีถูกันใหญ่แต่ที่ท้องที่พุงเท่านั้น