‘พุทธทาสภิกขุ’ การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง กับ ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช
561516165

‘พุทธทาสภิกขุ’ การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง กับ ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช

byBIA Thai
วันที่
Share

โครงการจัดทำประวัติศาสตร์บอกเล่า กลุ่มงานจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
บทความและภาพ โดย อัครวิทย์ ชูเกียรติศิริชัย
สัมภาษณ์ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๑

ชมคลิปบทสัมภาษณ์ได้ที่

 

อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ทางเครือญาติตระกูล ‘พานิช’ อันเป็นนามสกุลเดิมของ ‘พุทธทาสภิกขุ’ และในฐานะประธานกรรมการบริหาร หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ ทำให้โครงการจัดทำประวัติศาสตร์บอกเล่าจากบุคคลที่เคยใกล้ชิดหรือมีประสบการณ์ร่วมสมัยกับพุทธทาสภิกขุ กลุ่มงานจดหมายเหตุ หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ จะต้องจัดลำดับให้ ศาสตราจารย์นายแพทย์ (ศ. นพ.) วิจารณ์ พานิช อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. เป็นหนึ่งในผู้ให้ข้อมูลคนสำคัญของโครงการจัดทำประวัติศาสตร์บอกเล่า (oral history) แม้ว่าท่านจะออกตัวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในฐานะเครือญาติกับพุทธทาสภิกขุว่า “เราไม่ใกล้ชิดกันเลย”

ท่านพุทธทาสคือคนที่พยายามเข้าสู่เนื้อแท้ของทุกเรื่อง นั่นคือตัวอย่างที่สำคัญ แล้วก็ตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า มันมีไอ้สิ่งปลอมปน impurity อยู่ในทุกที่อยู่ในทุกเรื่อง ท่านก็พยายามเอาไอ้นั่นออกเพื่อให้เห็นไอ้ตัวแก่นที่แท้จริง

ความทรงจำผ่านสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ

นายเสี้ยง พานิช

จากเหตุที่ นายเสี้ยง พานิช ปู่ของ ศ. นพ.วิจารณ์ มีศักดิ์เป็นอาของพุทธทาสภิกขุ ซึ่งมีนามเดิมว่า นายเงื่อม พานิช ทำให้ ศ. นพ.วิจารณ์ เรียกพุทธทาสภิกขุว่า “ลุงหลวง” ขณะที่พุทธทาสภิกขุเรียกหลานของท่านในชื่อจริงว่า “วิจารณ์”

“ตอนที่ผมจำความได้ เวลาที่ท่านพุทธทาสจะขึ้นมากรุงเทพฯ ท่านจะนั่งรถไฟมาพักที่ชุมพร แล้วก็ไปเยี่ยมปู่ผมไปคุยกัน แล้วก็ไปค้างที่วัดดอนทรายแก้ว ซึ่งท่านเจ้าคุณปกาสิตฯ (พระปกาสิตพุทธศาสน์ (บุญชวน เขมาภิรัต))1 เจ้าคณะจังหวัดชุมพร (ณ ขณะนั้น) เป็นเจ้าอาวาสอยู่” ศ. นพ.วิจารณ์ เล่าถึงความทรงจำเกี่ยวกับท่านพุทธทาสเมื่อครั้งยังเป็นเด็กต่อไปว่า “คือพ่อผมเนี่ยจะเอ่ยถึงท่านพุทธทาสเป็นระยะๆ…โอ้! พี่หลวง พ่อผมเขาเรียกพี่หลวง พี่หลวงตอนนี้ทำโรงมหรสพ อะไรอย่างนี้ ก็ได้ข่าว ซึ่งก็ไม่เคยไปเห็นหรอกก็พูดถึงไปอย่างนั้น”

แต่เอาเข้าจริงๆ กว่าที่ ศ. นพ.วิจารณ์ จะมีโอกาสเดินทางไปสวนโมกข์เป็นครั้งแรก ก็เมื่อเติบโตเป็นอาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย “ผมไปสวนโมกข์ครั้งแรกเลย ก็สวนโมกข์ปัจจุบันนี้ ไปเมื่อแถวๆ ปี ๒๕๑๔ ตอนนั้นผมกลับมาจากเมืองนอก แล้วก็มาเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ปี ๒๕๑๑ ผมกลับมาเป็นอาจารย์ ปี ๒๕๑๓ – ๒๕๑๔ เขาเตรียมขยายวิทยาเขตมหิดลไปที่ศาลายา ก็มีการพูดคุยกันว่า สร้างมหาวิทยาลัยวิทยาเขตใหม่ทั้งที มันต้องสร้างความเป็นมนุษย์ มันต้องไม่ใช่แค่ผลิตหมอ ผลิตวิศวะ คนพวกนั้นต้องเป็นมนุษย์ที่จิตใจสูง…เอ๊?…แล้วปรึกษาใครดี ท่านพุทธทาสแหละดีที่สุด เรายกขบวนไปกราบท่านแล้วก็ขอคำแนะนำจากท่านที่สวนโมกข์เลย นั่งรถไฟกันไป ลงรถไฟตีสี่ได้มั้ง นั่งรถไปตอนนั้นถนนหน้าวัดก็ยังไม่ค่อยเป็นถนน ไปถึงท่านนั่งอยู่ตรงเก้าอี้โยก สัปหงกอยู่ พวกเราก็ไปกราบท่าน” ศ. นพ.วิจารณ์ ย้อนความหลัง

ช่องว่างระหว่างธรรมะของพุทธทาสภิกขุกับคนหนุ่มคนสาวร่วมสมัย

 

แม้ใครหลายคนจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความประทับใจเมื่อแรกพบพุทธทาสภิกขุ แต่สำหรับหลานอย่าง ศ. นพ.วิจารณ์ หนึ่งในชายหนุ่มปัญญาชนคนมีความรู้ กลับมีความทรงจำเมื่อครั้งแรกไปเยือนสวนโมกข์แตกต่างไป “คุยกันเนี่ยนะ ผมก็ขำตัวเองผมฟังไม่รู้เรื่อง จับได้เลาๆ ก็คือว่า ท่านก็จะพูดว่าการศึกษาเหมือนหมาหางด้วน มันมีแต่เพิ่มพูนกิเลส พูดง่ายๆ ก็คือว่า ลงท้ายที่ไปคุยกับท่านทุกคนก็ซี้ดซ้าดสนุกดีแต่ว่ากลับมาไม่ได้ทำอะไรเลย” ประธานกรรมการบริหาร หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ บอกเล่าความทรงจำพร้อมเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนอธิบายต่อไปว่า

สร้างมหาวิทยาลัยวิทยาเขตใหม่ทั้งที มันต้องสร้างความเป็นมนุษย์ มันต้องไม่ใช่แค่ผลิตหมอ ผลิตวิศวะ คนพวกนั้นต้องเป็นมนุษย์ที่จิตใจสูง

“ผมมีความรู้สึกว่าวิธีการของท่านไม่สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรได้ ซึ่งพอถึงตรงนี้ผมก็รู้ว่ามันเป็นความคิดของคนที่ยังเด็ก ยังไม่โต ยังเข้าใจอะไรต่ออะไรไม่ดี ก็ทำให้เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เราหาวิธีที่จะให้คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆ ไม่ง่าย เพราะเราอยู่ใน paradigm (กระบวนทัศน์) หรือว่า mindset (ชุดความคิด) อย่างหนึ่ง เรียนมหาวิทยาลัยมันก็ต้องออกไปเป็นหมอสิ มันต้องผ่าตัดเก่งสิ วิศวะก็ต้องอย่างนี้สิ แต่ไม่ได้คิดถึงมิติทางด้านจิตใจและความเป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้เราจะเข้าใจ แต่ตอนนั้นเราจะไม่เข้าใจ” ศ. นพ.วิจารณ์ ให้ความเห็น

ความประทับใจผ่านตัวอักษร

แม้จะออกปากว่าพบกับท่านพุทธทาสน้อยครั้ง อีกทั้งความสัมพันธ์ก็ไม่ได้ใกล้ชิด แต่ก็มีแง่มุมที่ประธานกรรมการบริหาร หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ มองเห็นว่าเป็นความน่าประทับใจเกี่ยวกับท่านพุทธทาส “ความประทับใจไม่ได้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับตัวท่านโดยตรง ได้จากการอ่านหนังสือ จะมีคนเขียนเล่าเรื่องท่านทดลองอดอาหาร ทดลองฉันแต่ผลไม้ ทดลองไม่คุยกับใคร พวกอย่างนี้ผมอ่านแล้วผมชอบมาก แล้วก็ประทับใจ พอถึงตอนนี้จะอธิบายความประทับใจว่า อย่าลืมนะท่านเริ่มตั้งแต่อายุ ๒๐ ต้นๆ นะ คนอายุขนาดนั้นมันเด็กนะอย่าลืมนะ ตอนเป็นเรานี่ไม่ได้สติเลยนะ ๒๐ กว่าเนี่ย ท่านเนี่ยเรียนรู้จากการปฏิบัตินี่คือ KM (Knowledge Management : การจัดการความรู้) นะ เรียนรู้จากการปฏิบัติทดลองจริง ใครว่ายังไงไม่รู้เราลอง เพราะเราไม่เชื่อ จะเชื่อต่อเมื่อสัมผัสได้ด้วยตัวเอง อันนี้สุดยอด สุดยอดสำหรับผม”

แต่ถึงกระนั้นในฐานะนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับงานการจัดการความรู้แบบฆราวาส ศ. นพ.วิจารณ์ ยืนยันว่าสำหรับท่าน “ท่านพุทธทาสไม่ใช่ role model เรา…เรามองว่าท่านเป็นพระก็เป็นอีกแบบหนึ่งไม่ได้มีอะไร แต่ว่าเวลาอ่านหนังสือเมื่อตอนอายุมากขึ้นหน่อยจะชอบมาก”

การปรากฏของลายเซ็นในพินัยกรรมการจัดการศพ ‘พุทธทาสภิกขุ’

สำหรับบุคคลที่สนใจในชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ อาจทราบว่าในพินัยกรรมการจัดการศพของพุทธทาสภิกขุที่ได้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ นอกจากจะมีการลงลายมือชื่อ พุทธทาส อินทปัญโญ ในฐานะผู้ทำพินัยกรรมแล้ว ยังปรากฏลายมือชื่อของ ศ. นพ.วิจารณ์ พานิช ในฐานะหนึ่งในพยานที่รับรู้การจัดทำพินัยกรรมฉบับดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้ ศ. นพ.วิจารณ์ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า “ผมเพียงแต่ว่าเขาตามมาเท่านั้นเอง ผมก็ยังงงๆ ผมอยู่หาดใหญ่ตอนนั้น ผู้ใหญ่ที่สุดในตระกูลคือพี่สิริ (สิริ พานิช บุตรชายคนโตของคุณธรรมทาส พานิช) แต่ทีนี้ไม่รู้ว่าอีท่าไหนเขาก็ตามผม ผมก็งงๆ” แต่ถึงกระนั้นในท้ายที่สุดการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการศพของพุทธทาสภิกขุก็ผ่านพ้นไปดังคำสั่งที่พุทธทาสภิกขุได้จัดเตรียมไว้ ในวันเยี่ยมสวนโมกข์ปีนั้น (ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐) ตรงกับวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งเป็นวันฌาปนกิจศพของพุทธทาสภิกขุ และถือเป็นการแสดงสัจจธรรมของชีวิตให้เป็นที่ประจักษ์จากสรีระอันมอดไหม้

Share

Related Articles