อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก” ธรรมพรเนื่องในโอกาสเปิดหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
picture20220727173236

อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก" ธรรมพรเนื่องในโอกาสเปิดหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

byBIA Thai
วันที่
Share

อยู่ใน ใจเหนือ เกื้อโลก

ธรรมพรเนื่องในโอกาสเปิดหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
ดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ท่านเขียนให้เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๓

จุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนานั้น  รู้กันดีว่าคือนิพพาน และนิพพานนั้นก็มีไวพจน์ คือชื่อเรียกอย่างอื่นที่มีความหมายตรงกันใช้แทนกันได้มากมาย ในบรรดาชื่อเรียกเหล่านั้น ไวพจน์ที่สำคัญก็เช่น วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิโรธ

วิมุตติ แปลว่าความหลุดพ้น หมายถึงหลุดพ้นจากกิเลส หลุดพ้นจากทุกข์ จะแปลว่า ความเป็นอิสระ หรืออิสรภาพ ก็ได้ บางทีเรียกวิมุตตินี้สั้นๆ ง่ายๆ ว่า “โมกขะ” หรือ “โมกข์” หรือเขียนอย่างสันสกฤตเป็น “โมกษะ” หรือ “โมกษ์”

“โมกข์” ก็แปลว่า ความหลุด ความพ้น ใช้ได้ทั่วไป ตั้งแต่หลุดจากบ่วง พ้นจากพันธนาการ พ้นจากที่ถูกปิดล้อม พ้นภัย พ้นจากความตาย จนถึงพ้นทุกข์พ้นกิเลสด้วยอริยมรรค คือเป็นวิมุตติ หรือนิพพาน

เวลาพูด เวลาใช้ถ้อยคำ บางครั้ง บางกรณี รู้สึกว่า “โมกข์” หรือ “โมกขะ” ห้วนไป หรือออกเสียงไม่คล่องลิ้น ก็ใช้ “โมกษะ” บ้าง “โมกขธรรม” บ้าง ซึ่งก็มีความหมายอย่างเดียวกัน

เกิดสวนโมกข์ ที่ไชยา

เมื่อเกือบ ๘๐ ปีมาแล้ว พุทธทาสภิกขุตั้งชื่อวัดของท่านที่ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า “โมกขพลาราม”แปลได้ว่าสวนที่เป็นกำลังแห่งโมกขะตามเรื่องที่บอกเล่าไว้ว่าที่นั่นมีต้นโมกและต้นพลามาก ท่านจึงตั้งชื่อวัดอย่างนี้ เป็นการโยงมาเข้ากับคำบาลี ซึ่งทำให้ได้ความหมายทางธรรมที่เหมาะมาก

“โมกขพลาราม” เรียกสั้นๆ ว่า “สวนโมกข์” คือ สวนเพื่อความหลุดพ้น สวนที่มุ่งสู่ความหลุดพ้น หรือสวนแห่งโมกขธรรม จะแปลยักเยื้องออกไปอีกว่า สวนสำหรับผู้แสวงหาความหลุดพ้น สวนเพื่อผู้มุ่งหาโมกขธรรม สวนที่แผ่ธรรมเพื่อโมกษะ หรือสวนอันมีโมกขธรรมที่จะมอบให้ ก็ได้ทั้งนั้น

คนไทยจำนวนมาก ตลอดไปถึงคนไม่น้อยจากนานาชาติ คงยอมรับเป็นอย่างดีว่า“สวนโมกข์” ได้เพียรทำหน้าที่เพื่อสนองวัตถุประสงค์ตามความหมายนี้ยั่งยืนนาน ตลอดชนมายุกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ และสืบมา

สวนโมกข์ใหม่ เกิดในกรุงเทพฯ

บัดนี้ มีข่าวที่เป็นความเจริญงอกงามของสวนโมกข์ และเป็นความก้าวหน้าของงานแผ่ขยายกุศลธรรม คือจะมีการเปิดสวนโมกข์กรุงเทพ ซึ่งมีชื่อว่า “หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ”

กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางและเป็นแหล่งที่รวมความเจริญของประเทศ สำหรับถิ่นที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างนี้ แม้แต่ถ้อยคำเรียกชื่อก็มักสรรหานามที่ถือกันว่าไพเราะเสนาะหูฟังหรูทันยุคทันสมัย สวนโมกข์กรุงเทพนี้ ถ้าเรียกให้สมคำกรุงที่เป็นมหานคร ก็คงได้นามว่า “อุทยานอิสรภาพ”

อย่างไรก็ตาม นามว่าสวนโมกข์นี้ น่าจะเหมาะดีแล้ว ไม่เพียงว่าสั้นและเรียกง่าย แต่รูปลักษณ์ก็เรียบง่าย และมีอรรถนัยที่เบาสบายแต่ลึกซึ้ง โยงถึงธรรมและสื่อถึงใจชัดเจนอย่างเป็นภาพให้มองเห็น พอเรียกขาน ใจก็เบิกบานรับได้ทันที สวนโมกข์ที่สงบเรียบง่ายใกล้ชิดธรรมชาติ จึงเหมาะที่จะมาตั้งอย่างน้อยก็เป็นสถานที่ตรึงดุลในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นมหานคร ที่ซับซ้อนวุ่นวาย ตระหง่านด้วยอาคารตระการด้วยแสงสี ช่วยปลุกสติให้เกิดจิตสำนึกถึงความพอดี ที่จะหลุดพ้นในขั้นต้นจากความละเลิงหลงใหลในวัตถุปรุงแต่งและเทคโนโลยี

ในกรุงในเมือง ต้องการสวนกันทั่ว

คนเมืองคนกรุงมุ่งหน้าพัฒนาบ้านเรือนถนนหนทางอาคารสถานที่ และจัดสร้างวัตถุอำนวยความสะดวกและบำรุงบำเรอความสุข แย่งชิงวิ่งหากันจนไปๆ มาๆ กลายเป็นเคร่งเครียดอึดอัดอืดเฟ้อ แล้วก็ชักจะเหนื่อยหน่าย เริ่มรู้ตัวและหันกลับมาเรียกหาธรรมชาติ คนในถิ่นที่เจริญมีชีวิตอยู่กับวัตถุปรุงแต่งและมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น ไม่ช้าก็ต้องมองเห็นความสำคัญของต้นไม้และการมีสวนต้นไม้ไว้เป็นแหล่งให้ความร่มเย็นและสัมผัสกับธรรมชาติ

สวนคือถิ่นของหมู่ไม้ ที่รื่นรมย์ด้วยบรรยากาศของธรรมชาติ มิใช่มีเพียงพฤกษา แต่มีเหล่าสกุณา และสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ อย่างน้อยก็คงได้เห็นกระรอกกระแต มีแหล่งน้ำ อาจจะเป็นสระ หรือธารน้ำลำห้วย แล้วก็ต่อไปถึงสายลม แสงแดด และท้องฟ้า  เป็นแหล่งชุบชูชีวิตขั้นพื้นฐาน

สวนเป็นถิ่นที่อยู่ของพืชสัตว์ที่คัดสรรเท่าที่เป็นมิตรไม่มีพิษภัยแก่มนุษย์ จึงเป็นรมณียสถาน อันเหมาะที่มนุษย์จะเข้าไปพักผ่อนและจัดกิจกรรมบันเทิงสนุกสนาน

ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่มีโภคสมบัติ ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ลงมา จนถึงชาวบ้านผู้มีฐานะอย่างคฤหบดี นิยมมีสวนเป็นทรัพย์สินส่วนตัว อันจัดไว้เป็นสัดส่วนแยกต่างหากจากบริเวณที่อยู่ ซึ่งอาจจะมีผู้คนคับคั่งอาคารบ้านเรือนหนาแน่น มีของประดิษฐ์และสิ่งตกแต่งมาก เรียกสวนนั้นว่าอารามบ้าง อุทยาน (ภาษาบาลีเรียกว่า อุยฺยาน) บ้าง

ที่เรียกว่า “อาราม” ก็โดยมีความหมายว่าเป็น “ภูมิสถานอันรื่นรมย์” หรือภูมิสถานอันมีไม้ดอกไม้ผลที่มายลชื่นชมรื่นรมย์ใจ หรือไม่ก็เรียกว่า “อุทยาน” อันแปลว่า “ภูมิสถานที่ชนทั้งหลายแหงนชมดอกไม้ผลไม้เที่ยวเดินกันไป”

ได้แค่นี้ ก็พอจะบรรเทาปัญหาของมนุษย์ ที่ห่างเหินแปลกแยกจากธรรมชาติ ให้เขาได้สัมผัสเข้าถึงความสุขจากสิ่งแวดล้อมที่รื่นรมย์ เติมเต็มส่วนที่ขาดที่พร่องไปให้แก่ชีวิต

ทีนี้ ในอุทยาน นอกจากต้นหญ้าต้นไม้เป็นต้น ที่เป็นฝ่ายธรรมชาติแล้ว ก็อาจจะมีสถานที่สนุกสนานบันเทิง ตลอดจนสร้างอาคารที่หย่อนใจในทางสุนทรีย์ ดังที่ในราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีหอศิลป์ (จิตตาคาร) ที่ประชาชนพากันไปเที่ยวชมภาพจิตรกรรม เป็นต้น

กิจกรรมสนุกสนานบันเทิงและศิลปกรรมเป็นต้นนี้ ที่นำเข้าไปหรือจัดเพิ่มขึ้น ก็เพื่อเสริมคุณค่าให้คนได้ประโยชน์มากขึ้น เติมความสุข อย่างน้อยก็เป็นเครื่องช่วยดึงหรือน้อมนำใจคนเข้ามาหามาใกล้ชิดธรรมชาติ

แต่พอกิจกรรมและเรื่องราวของคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ภาวะเสี่ยงก็เกิดขึ้น บางที แทนที่จะเสริมคุณค่าในการเข้าถึงหรือได้ประโยชน์จากธรรมชาติ กลับทำลายบรรยากาศของธรรมชาตินั้นเสีย แล้วพาเขวเฉออกไปในทางตรงข้าม จึงต้องระมัดระวังที่จะดูแลควบคุมและจัดการให้ดีโดยไม่ประมาท

Share

Related Articles