Share
เมื่อร้อยปีก่อนที่ประเทศฮังการี
มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เรียกว่าอยู่ไกลจากความเจริญ
ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่
ในหมู่บ้านนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านนับถือ
เพราะเธอเป็นหมอตำแยและเป็นหมอสมุนไพร เวลาใครเจ็บใครป่วยก็มาขอยา
แล้วเธอก็มียาหลายขนานให้กับชาวบ้าน ชาวบ้านเลยนับถือมากชื่อป้าซูซี่
เป็นคนที่ชาวบ้านนับถือ ผู้หญิงหลายคนเวลามีปัญหาก็มาปรึกษาป้าซูซี่
ปัญหาหนึ่งที่ผู้หญิงหลายคนมักจะนำมาเล่าให้เธอฟังก็คือ
ถูกสามีทำร้ายใช้ความรุนแรง หลายคนก็คงจะเมาด้วย ทุบตีภรรยาเป็นประจำ
ผู้หญิงเหล่านี้ก็เรียกว่าต้องทุกข์ทรมานมาก ก็มาเล่ามาระบายให้ป้าซูซี่
ตอนหลังแกก็เสนอทางออกให้นะ คือให้ยาพิษ
แกรู้วิธีการทำยาพิษโดยใช้สารหนูที่ได้มาจากการต้มกระดาษที่เขาใช้ดักแมลง
ต้มกับพวกน้ำส้มสายชู แล้วมันก็จะมีสารหนูออกมา
เอามาตากแห้งก็กลายเป็นยาพิษได้
ป้าซูซี่แกก็ให้ยาพิษกับผู้หญิงที่มาปรึกษาหารือ
เรื่องพวกถูกผัวซ้อมถูกผัวทำร้าย ผู้หญิงหลายคนก็ทำตามข้อเสนอของป้าซูซี่
เอาสารหนูไปผสมกับซุปหรือน้ำแกงให้ผัวกิน ส่วนใหญ่ก็ตายนะ
ตายทีละคนสองคนโดยที่ไม่มีใครเอะใจ ว่าตายเพราะถูกวางยา
เรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันในหมู่ผู้หญิงชาวบ้าน
พอใครมีปัญหาเรื่องถูกผัวซ้อมถูกผัวทำร้าย ก็มาหาป้าซูซี่
ป้าซูซี่ก็ให้ยาพิษ ตอนหลังพอคนแวดวงผู้หญิงรู้มากเข้าๆ
มันก็มีบางคนที่ไม่ได้ถูกผัวซ้อม ไม่ได้ถูกผัวทำร้าย
แต่อาจจะมีเรื่องทะเบาะเบาะแว้ง
เรื่องขัดอกขัดใจกับผัวยืดเยื้อเรื้อรังมานาน ไม่รู้จะทำยังยังไง
ก็ไปขอยาพิษจากผ้าซูซี่มาให้ผัวกิน
เป็นการกำจัดสิ่งที่รบกวนจิตใจออกไปจากชีวิต
แล้วตอนหลังบางคนก็ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไรกับผัวมากนะ
แต่ทนรำคาญกลิ่นผัวไม่ได้ ผัวนี่ส่งกลิ่นเหม็น
เพราะคงจะไล่ผัวไปอาบน้ำหลายครั้งหลายคราว ผัวไม่ไปซักที
ไม่ไประงับกลิ่นตัวซักที กลิ่นเหม็นไม่ยอมอาบน้ำ เมียรำคาญไม่รู้จะทำยังไง
ก็เลยขอยาพิษจากป้าซูซี่ไปให้ผัว วางยา ผัวก็ตาย
ตอนหลังก็จะมีเหตุการณ์แบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ได้ถูกผัวซ้อม
ไม่ได้ถูกผัวทำร้าย แต่มีเรื่องที่มันไม่ถูกอกถูกใจ
อย่างเช่นบางทีผัวป่วยหรือพ่อผัวป่วย หรือบางทีญาติผู้ใหญ่ป่วย
ตัวเองก็ดูแล พอดูแลไปนานๆ เข้า ตัวเองก็เหนื่อยก็ล้า ไม่รู้จะทำยังไง
ก็ขอยาพิษจากป้าซูซี่มาให้คนป่วย พอคนป่วยตายก็เป็นอันหมดภาระ
ปรากฏว่าคนในหมู่บ้านตายกันแบบนี้ทีละคนสองคน
ต่อเนื่องกันเป็นเวลาสิบกว่าปี โดยที่ไม่มีใครเอะใจหรือไม่มีใครสงสัยเลย
แต่ตอนหลังเรื่องก็แดงเพราะคนตายเยอะเหลือเกิน ช่วง 15
ปีนี้เชื่อว่ามีคนตายเพราะถูกวางยาแบบนี้ 160 คน หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้
ตอนหลังป้าซูซี่ก็ถูกจับแล้วถูกประหาร
มันก็เป็นเรื่องที่น่าสลดใจนะ แต่มันก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาหลายข้อทีเดียว
อย่างเช่นว่า
ทำไมคนที่ดูมีเมตตายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างป้าซูซี่แกถึงเรียกว่าใจคออำมหิต
เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาได้เหมือนกัน
พร้อมที่จะร่วมมือหรือพร้อมที่จะอยู่เบื้องหลังการสังหารหรือกำจัดชีวิตผู้คน
ซึ่งก็ไม่ได้เป็นคนที่เป็นศัตรูคู่อริ แต่เป็นคนที่ตัวเองรู้จัก
เพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ทำไมถึงทำได้ลงคอ
คำตอบอาจจะเป็นเพราะว่า แกหวังผลประโยชน์ด้วย
เพราะทำอย่างนี้มันก็ได้ค่าจ้าง บางทีก็ได้ค่าจ้างที่ดีซะด้วยนะ
แต่คำถามที่น่าสนใจพอๆ กันก็คือ
ทำไมชาวบ้านหรือผู้หญิงในหมู่บ้านจำนวนมากเลยเนี่ย ถึงคิดที่จะฆ่าคนอื่น
หรือฆ่าคนที่ตัวเองรู้จักได้เพียงเพราะว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกใจ
จะเรียกว่าเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ เช่น ทนกลิ่นตัวผัวไม่ได้
แล้วรู้ว่าคงจะต้องทนอย่างนี้ไปอีกนานกว่าผัวจะตาย ทนไม่ไหว ไม่อยากรอนาน
ขนาดนั้น ก็เลยกำจัดให้พ้นไปจากชีวิตเร็วๆ ซะเลย
มันมีเหตุผลทำนองนี้มากมายนะ
ที่ทำให้ผู้หญิงในหมู่บ้านนี้เขาเลือกที่จะคร่าชีวิตของผู้คนที่ตัวเองรู้จัก
ถ้าหากเป็นเพราะว่าถูกทำร้าย ถูกซ้อม ถูกทุบตี
เพราะผัวเมาเหรือเพราะผัวเป็นคนโหดร้าย
การที่วางยาผัวมันก็อาจจะเป็นการป้องกันตัว ซึ่งแม้มันจะไม่ถูก
แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพราะผู้หญิงจำนวนมากพออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้จะหนีออกไปได้ยังไง
จะหย่าก็หย่าไม่ได้ เพราะศาสนาเขาไม่อนุญาต
จะไปอยู่ทีอื่นก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ก็เลยต้องหาทางกำจัดด้วยวิธีนี้
แต่หลายคนก็ไม่ได้มีความทุกข์ขนาดนั้น
ที่รุนแรงมากพอที่ต้องใช้วิธีนี้เป็นการแก้ปัญหา
แต่เพียงเพราะเจอความยากลำบาก เจอสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ
วันแล้ววันเล่าก็ไม่รู้จะหาทางออกได้อย่างไร
ก็เลยใช้วิธีกำจัดให้พ้นไปจากชีวิตซะเลย อันนี้มันเป็นคำถามที่น่าคิดว่า
ทำไมคนซึ่งไม่ใช่เป็นคนใจคอโหดร้าย ทำไมถึงทำอย่างนั้นได้ลงคอ
ที่จริงมันอาจจะเริ่มต้นจากแค่ความคิดลอยๆ ว่าถ้าคนคนนี้หายไปจากชีวิตของฉัน มันก็คงจะดีไม่น้อย
คนที่มีปัญหากับผัว คนที่มีปัญหากับพ่อผัว คนที่มีปัญหากับแม่ยาย
วันแล้ววันเล่าเป็นปีๆ มันเกิดความเครียด เกิดความขุ่นเคือง
มันก็เลยเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาว่า ถ้าเขาหายไปจากชีวิตของฉัน
มันก็ดีเหมือนกันนะ พอคิดแล้วมันก็สบายใจ
แต่พอมีความคิดแบบนี้เกิดขึ้นแล้วยังต้องเจอความทุกข์ต่อไป
มันก็จะเริ่มคิดจริงจังแล้วนะว่า
ไม่ใช่แค่อยากให้เขาหายไปจากชีวิตหรือหายไปจากโลกนี้ แต่อยากให้เขาตายด้วยอุบัติเหตุ อยากให้เขาตาย เพราะเป็นโรคมะเร็ง อยากให้เขาตายเพราะเป็นโรคฝีดาษทรพิษ เพราะสมัยนั้นเป็นโรคที่รุนแรง
เริ่มจะคิดจริงจังแล้ว
จากเดิมแค่อยากให้เขาหายไปจากชีวิตของฉัน
ตอนนี้กลายเป็นว่าอยากให้เขาตายเพราะอุบัติเหตุ อยากให้เขาตายเพราะถูกยิง
อยากให้เขาตายเพราะเจ็บป่วย ถูกน้ำท่วม ถูกแผ่นดินไหว
มันเริ่มคิดจริงจังมากขึ้น แล้วพอมีความทุกข์ต่อไป มีความคับแค้นต่อไป มันไม่ใช่แค่อยากแล้ว มันเริ่มแช่งชักหักกระดูกแล้ว
เริ่มแช่งแล้วนะขอให้มันตายวันนี้วันพรุ่ง ด้วยความแค้นหรือความทุกข์
บางทีก็ถึงกับบนบานศาลกล่าวเลยนะ ขอให้มันตายเพราะโรคนั้นโรคนี้
แต่แช่งก็แล้ว บนบานศาลกล่าวก็แล้ว ไม่ตายซักที ขณะที่ความทุกข์ความโกรธแค้นก็เพิ่มพูนมากขึ้น สุดท้ายจากแค่ความคิด มันก็กลายเป็นการลงมือกระทำ ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ลืมตัว
เช่น อาจจะถูกทำร้าย หรือกินเหล้าเมา
หรืออาจจะเจอเหตุที่ไปกระตุ้นให้เกิดโทสะหรือบันดาลโทสะอย่างแรงก็ได้
อันนี้คือเหตุผลที่ทำให้ทุกวันนี้เราก็ได้ยินข่าวคราว
บางทีผู้หญิงที่ดูไม่มีพิษสงอะไรเลย วันดีคืนดีก็ฆ่าผัว
ผัวก็ตบตีด้วยความเมา แล้ววันหนึ่งผัวเกิดเมามาก เมียทนทุกข์ทรมานมานาน
ไม่รู้จะออกจากขุมนรกได้ยังไง ก็เอาค้อนทุบหัวผัวตายเลย อันนี้ก็เป็นข่าวนะ
แล้วถามว่าคนดีๆ แบบนี้กลายเป็นฆาตกรได้อย่างไร
มันก็คงเหมือนกับเรื่องราวของผู้หญิงในหมู่บ้านฮังการีที่เล่าให้ฟัง
คือพอมีความทุกข์ พอมีความเจ็บปวด พอมีความเดือดร้อน
ทีแรกก็เพียงแค่คิดว่ามันคงดีไม่น้อยนะ ถ้าเขาหายไปจากชีวิตของฉัน
แต่ตอนหลังพอไม่ไปสักทีมันก็เริ่มคิดจริงจังแล้วว่า อยากให้เขาตาย
ถูกรถชนตาย อยากให้เขาเป็นมะเร็งตาย อยากให้เขาประสบอุบัติเหตุตาย
มันเริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น แต่พอไม่ตายซะทีก็เริ่มแช่ง
แต่แช่งแล้วบนบานก็แล้ว ไม่ตายซักที พอความแค้นมันแน่นอก
แล้วพอมีตัวกระตุ้นทำให้ลืมตัว มันก็สามารถจะลงมือได้เลย
จากเดิมเพียงแค่คิดลอยๆ ว่าตายไปก็ดี
กลายเป็นลงมือกระทำด้วยน้ำมือของตัวเอง อันนี้คือแรงจูงใจ
ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีพิษสงอะไร
บางทียุงยังไม่ตบ มดก็ไม่บี้ ทำไมถึงฆ่าคนได้
มันก็เริ่มต้นจากความคิดลอยๆ เรียกว่าฝันกลางวัน
ว่าถ้าเขาหายไปจากชีวิตของฉันก็คงจะดีไม่น้อย
แต่พอปล่อยให้ความคิดแบบนี้มันลุกลามไปเข้า
มันก็กลายเป็นเรื่องจริงเรื่องจังขึ้นมาแล้วมันไม่ใช่แค่เมียฆ่าผัวอย่างเดียวนะ
บางทีลูกดูแลแม่ แม่นี่ก็เจ็บป่วยเรื้อรัง
บางทีเป็นโรคความจำเสื่อม ลูกก็ดูแลแม่เป็นปีๆ ห้าปีก็แล้ว สิบปีก็แล้ว
ต้องทิ้งงานทิ้งการไม่มีอนาคต ตัวเองก็มีลูกที่ต้องดูแล แต่ ก็ต้องทิ้งลูกไป ต้องมาดูแลแม่ แม่พอความจำเสื่อมก็มีอารมณ์ที่ชอบกระทบกระทั่งลูกผู้ดูแล หรือบางทีก็กลายเป็นภาระ เป็นอย่างนี้สักห้าปีสิบปีลูกก็เริ่มคิดแล้วนะว่า ถ้าแม่ตายไปมันก็คงดีไม่น้อยนะ ฉันจะได้กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม
กลับไปดูแลลูก กลับไปมีคู่ กลับไปใช้ชีวิตที่อิสระของฉัน
แต่นี่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะต้องคอยมาดูแล
ถ้าจะทิ้งแม่ไปฉันก็ไม่อยากเป็นลูกอกตัญญู แต่พอดูไปๆ มันก็หนักขึ้นๆ
มันก็อดไม่ได้ที่จะนึกว่า ถ้าแม่ไป หายไปจากโลกนี้ซะวันนี้เลย
ฉันคงจะมีความสุขมาก
ความคิดแบบนี้มันผุดขึ้นมาได้เสมอนะ
สำหรับลูกที่เป็นคนที่อยูในสถานการณ์แบบนี้ แต่บางคนพอรู้ทันก็รู้สึกเศร้า
รู้สึกผิดว่า ทำไมฉันจึงมีความคิดแบบนี้ แต่บางคนก็ไม่รู้ทันนะ
พอมันมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาแล้วไม่รู้ทัน
ต่อไปมันก็ไม่ใช่แค่อยากให้แม่หายไปจากโลกนี้
บางทีมันเกิดความคิดจริงจังเลยที่จะทำให้แม่ไปจากโลกนี้
ไม่ใช่เพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่ด้วยน้ำมือของตัวเอง
โดยเฉพาะตอนที่เครียดหนักๆ ตอนที่รู้สึกล้า มากๆ นี่มันลืมตัว
อดคิดไม่ได้ว่าแม่นี่คือมารชีวิต ลงมือทำร้ายแม่ เอาหมอนอุดจมูกอุดปากก็มี
พอรู้ตัวเข้าตกใจ รู้สึกผิด ไม่สามารถจะสู้หน้ากับโลกได้
ไม่สามารถจะทนกับความรู้สึกผิดได้ ก็ทำร้ายตัวเอง ตาย
ตกไปตามกันนี่เป็นโศกนาฏกรรมของชีวิต
ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่พึงสังวรณ์ระวังเอาไว้
ที่จริงอย่าว่าแต่ต้องเจอกับผัวที่ทำร้ายทุบตี
หรือต้องดูแลพ่อดูแลแม่ที่เจ็บป่วยยืดเยื้อเรื้อรังมานาน
บางทีอยู่กับเพื่อนบ้าน มี เรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนบ้าน มีเรื่องขัดใจกับเพื่อนบ้านมา
ปีแล้วปีเล่าๆ ห้าปีก็แล้วสิบปีก็แล้ว
พอคิดต่อไปว่าฉันจะต้องอยู่กับไอ้นี่ต่อไปอีกไม่รู้กี่ปี
บางทีก็อดคิดไม่ได้ตามวิสัยปุถุชนว่า เออ อยากให้เขา หายไปจากโลกนี้
หายไปจากชีวิตของฉัน แต่ทันทีที่เรามีความคิดแบบนี้ขึ้นมา
มันมักจะไม่หยุดแค่นี้นะ มันมักจะไปต่อ
ไม่ใช่แค่อยากให้เขาหายไปจากโลกนี้ลอยๆ แต่อยากให้เขาตายเลย
ตายเพราะโรคนั้นโรคนี้ แล้วจากอยากให้เขาตายไปเพราะโรคนั้นโรคนี้
แล้วไม่ตายสักที คราวนี้มันเกิดความคิดที่จะลงมือทำด้วยตัวเองเลย
อันนี้มันเป็นพัฒนาการของความคิดซึ่งเราต้องระวัง
เพราะคนเราเวลาเจออะไรที่ไม่ถูกใจ โดยเฉพาะผู้คนที่ต้องอยู่ด้วยกันนานๆ
แล้วมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน
พอมีเรื่องกระทบกระทั่งกันไปนานๆ แล้วมองไม่เห็นทางออกซักที
ว่ามันจะเลิกราไปได้ยังไง มันก็มักจะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่า
ถ้าเขาหายไปจากโลกนี้หรือหายไปจากชีวิตของฉัน มันก็คงจะดีไม่น้อย ที
แรกมันก็คิดแบบนี้แหละ แต่ถ้าไม่ระมัดระวังมันก็จะไปต่อ
มันจะเริ่มกลายเป็นความอยากแล้ว อยากให้เขาตาย โดนรถชนตาย
อยากให้เขาปวยเป็นมะเร็งตาย อยากให้เขาถูกรถชนตาย
มันเริ่มคิดเป็นอกุศลมากขึ้นแล้ว
ถ้าไม่รู้ทันความคิดนี้
ต่อไปมันจะกลายเป็นว่า อดที่จะลงมือทำไม่ได้
หรือมิฉะนั้นก็ไปจ้างคนอื่นมาทำ
อันนี้มันก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายที่กลายเป็นข่าว
คนธรรมดาซึ่งดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นคนที่โหดร้ายอะไร
แต่ทำไมกลายเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นผัว
เป็นเมีย หรือเพื่อนบ้าน
เพราะฉะนั้น เวลามันมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ถ้าเราไม่สังเกตความคิดจิตใจของเรา เราก็อาจจะปล่อยให้ความคิดพวกนี้มันปรุงแต่งเลยเถิดไป
การที่คนเราพอมีเรื่องกระทบกระทั่งกับใคร มีความขัดแย้งกับใครไปนานๆ
ไม่เฉพาะว่าเป็นคู่ครอง เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนบ้าน
หรือเป็นพี่เป็นน้อง พอโตขึ้นแล้วมันก็มีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันได้มาก
โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้กัน พี่น้องในบ้านเดียวกัน
หรือพ่อตาแม่ยายในบ้านเดียวกัน ไม่ใช่แค่ผัวเมีย บางทีอาจจะเพื่อนบ้าน
พอมีเรื่องที่ทะเลาะเบาะแว้งกันแล้วไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร
จะย้ายไปอยูที่อื่นก็ไปไม่ได้ มันจะเริ่มมีความคิดแบบนี้
ถ้าเขาหายไปจากโลกนี้ก็จะดีนะ แล้วมันก็จะเริ่มคิดจริงจังมากขึ้น
อยากให้เขาตาย คิดอกุศล บางทีก็ไปบนบานศาลกล่าว
อันนี้มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน
เวลาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
แต่คนเราเวลามันมีความคิดแบบนี้ขึ้นมาตอนแรกๆ
ให้เรารู้ว่านี่คือสัญญาณเตือนว่าต้องระวังแล้ว เพียงแค่คิดว่า
“ถ้าเขาหายไปจากโลกนี้ หายไปจากชีวิตของฉันก็ดี”
ถ้าคิดแบบนี้มันก็เริ่มเป็นสัญญาณเตือนแล้ว ว่าเราต้องระวังรักษาใจ
ไม่ให้ความโกรธ ความแค้น ความเคือง ความหงุดหงิดมันครอบงำ
เวลาเกี่ยวข้องกับ บุคคลที่ว่า
เพราะไม่เช่นนั้นมันก็จะคิดเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น แล้วก็ลงมือกระทำ
ที่จริงแล้ว ต้นตอของความคิดหรือเหตุการณ์แบบนี้มันคืออะไร
มันก็คือความคิดว่า คนอื่นเป็นที่มาแห่งความทุกข์ของฉัน
คนเราพอมีความทุกข์ใจขึ้นมา
แล้วมองว่าคนอื่นคือตัวการหรือสาเหตุแห่งความทุกข์ของฉัน
มันก็ง่ายมากที่จะคิดต่อไปว่า ถ้ากำจัดเขาออกไปได้
หรือถ้าทำให้เขาหายไปจากชีวิตของฉัน
ความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นกับฉันมันก็จะหมดไป ฉันก็จะมีความสุข
ตรงนี้คือความคิดที่น่ากลัว ต้นตอของความคิดที่ว่า
“คนอื่นคือเหตุแห่งความทุกข์ของฉัน”
คนเราพอคิดแบบนี้แล้วมันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการกำจัดเขาให้หายไปจากชีวิต
หรือขอให้ชะตากรรมอะไรก็ได้ กำจัดเขาออกไปจากชีวิตของฉัน
อันนี้มันเป็นผลจากโทสะและอวิชชา
อวิชชาในที่นี้คือความคิดว่าผู้อื่นคือเหตุแห่งทุกข์
คือตัวการที่ทำให้ฉันทุกข์ คิดว่าถ้ากำจัดเขาออกไปจากชีวิตของฉันได้
ฉันก็จะหมดทุกข์ ฉันก็มีแต่ความสุข เป็นอิสระ
แต่ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เพราะคนอื่นเป็นเหตุแห่งความทุกข์ของเรา ที่จริงมันมีคำพูดว่า
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ก็หมายความว่า ความทุกข์ที่กำลังเผาลนจิตใจเรา
ด้วยความโกรธความแค้น มันก็มีสาเหตุไม่ใช่ จากคนอื่น
หรือคนภายนอกอย่างเดียว หรือคนใกล้ตัวอย่างเดียว
มันเกิดจากการที่ใจของเราวางไว้ผิดด้วย ถ้าใจเราวางไว้ไม่ถูกต้อง
มันก็เท่ากับเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ให้กับตัวเอง เป็นการเผาลนจิตใจ
โดยเฉพาะการที่เราไม่รู้เท่าทันความคิดที่มันเกิดจากการปรุงแต่งของโทสะ
แล้วปล่อยให้มันลุกลามไปจนกระทั่งสุดท้ายมันก็ครอบงำใจ
จนกระทั่งบังคับให้เราต้องลงมือทำร้ายคนที่เราคิดว่าเป็นตัวการแห่งความทุกข์
ทั้งที่คนนั้นก็อาจจะเป็นคนใกล้ตัวเรา หรือเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผัวเป็นเมีย
บางทีเป็นลูกก็ได้
ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าโทสะแล้ว เราวางใจมันไม่ได้เลย เราห้ามมันไม่ได้
ห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นได้ยากเพราะเราเป็นปุถุชน
แต่อย่างน้อยต้องรู้เท่าทันมัน โดยเฉพาะพอมันปรุงแต่งความคิดว่า
“ถ้าเขาหายไปจากชีวิตของฉันได้ จะดีไม่น้อย” พอคิดแบบนี้เข้า ต้องระวังแล้ว
มันจะพาเราเข้ารกเข้าพงไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัว
เราก็ทำในสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง
พระไพศาล วิสาโล