ครูกายแก้ว ในวันที่สึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเปลี่ยนไป

Share

การเมือง สังคม เศรษฐกิจ,

พระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร เผย วงสนทนาของพระสงฆ์ ‘ครูกายแก้ว’ คือเปรตมีฤทธิ์เพราะได้ฝึกสมาธิ มีมิจฉาสมาธิ อาฆาตพยาบาท ยังอยู่ในกามคุณ ห่วงใครผ่านไปมาบริเวณรัชดา-ลาดพร้าวนึกว่าสังคมไทยนับถือ ‘ภูตผีปีศาจ” ก็ยิ่งจะทำให้สังคมเสื่อมลงไปเรื่อยๆ หากเทียบกับ ‘องค์จตุคาม-ไอ้ไข่-ท้าวเวสสุวรรณ-เจ้าแม่กวนอิม’ ล้วนแต่อยู่ใกล้ชิดองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนครูกายแก้วในระดับต่ำเป็นมนต์ดำ ไสยเวทย์ ส่วนใครจะเชื่อและศรัทธา ก็เป็นเรื่องแต่ละบุคคล แนะให้สังคมไทยยึดหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ระดับสูงสุดซึ่งเป็นพุทธคุณและเกราะคุ้มภัยที่ดีที่สุด ใครคิดร้ายก็จะย้อนกลับไปที่เขาทันที อย่าไปเสียเงินกับการบวงสรวง ‘ครูกายแก้ว ผู้เปลี่ยนคนให้เป็นผี’ เพราะนี่คือการตลาด เดี๋ยวก็มีรูปปั้นใหม่ออกมาปั่นกระแสให้บูชากันอีก


กระแสครูกายแก้ว กำลังมาแรงเป็นที่สนใจของบรรดาสายมูเตลู และคนที่ไม่ใช่สายมู เพียงแต่ว่าแต่ละคนที่สนใจก็มีความเชื่อและศรัทธาที่แตกต่างกัน คนที่เลื่อมใสก็จะแห่ไปบวงสรวง กราบไหว้และแสวงหาเครื่องรางของขลังมาบูชาหรือสะสมไว้ ส่วนคนที่ไม่เชื่อและมองเป็นเรื่องงมงายไปบูชาภูตผี ปีศาจ ที่มีแต่ความน่าเกลียด น่ากลัวจะนำความอัปมงคลเข้ามาหรือไม่?

พระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร บอกว่า การบูชาครูกายแก้ว เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องตระหนัก จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของผู้มีอาคมในสมัยโบราณ เคยมีชีวิตอยู่แล้วมีชื่อเสียง แต่เมื่อตายไปแล้วแต่วิญญาณยังมีเรื่องของการอาฆาตพยาบาท ซึ่งการที่มีคนเชื่อและศรัทธากันมาก ก็เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจที่ไปที่มา และที่น่าอายที่สุดการไปตั้งอยู่ในบริเวณตรงนี้ที่มีคนสัญจรผ่านไปมาก็เห็นรูปปั้นนี้ได้ชัดเจน

“คนที่ผ่านไปมาก็จะคิดว่า เมืองไทย นับถือภูตผีปีศาจกันแล้วหรือ แม้จะเป็นเสรีภาพ แต่ต้องไม่ลืมนะประเทศไทย เป็นเมืองพุทธ ยิ่งถ้ามุสลิมเห็นรูปปั้นแบบนี้ยิ่งจะต่อต้านหนักเพราะไม่ได้เป็นการสอนธรรมะ และถ้ามีการนำสัตว์มาบูชายัญครูกายแก้ว จริงก็จะยิ่งผิดเพี้ยนไปกันใหญ่”

พระอาจารย์ดุษฎี ย้ำว่า “ใครจะบูชา ครูกายแก้ว อาตมาก็ไม่ว่าหรอก แต่อยากจะบอกว่าประเทศไทยมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ดีกว่านี้ตั้งเยอะ โยมไม่รู้จักกันหรือไม่ อีกทั้งรูปปั้นแบบนี้ถ้าเด็กเห็น เด็กจะตกใจและร้องไห้ได้ เพราะเขาไปเทียบกับผี”



อย่างไรก็ดี ในกลุ่มพระ ก็มีการสนทนาถกเถียงกันในเรื่องของครูกายแก้ว ซึ่งมีการไปเทียบว่าถ้าเป็นของไทยก็จะเหมือนผีกะหัง ผีกองกอย คือมันน่ากลัว แต่จริง ๆ ผีพวกนี้ไม่ได้เก่งกว่าถ้าเรามีธรรมะยึดเหนี่ยว แต่พระบางรูปก็ว่าเป็นเรื่องของไสยเวทจากเขมร และถ้าคนในสังคมหันไปเชื่อและศรัทธาหรือมุ่งเดินทางนี้คือไปบูชาภูตผีปีศาจ กันมาก ๆ ก็จะทำให้สังคมเสื่อมลงเรื่อย ๆ

“อาตมาจะบอกคนที่มีภูมิปัญญา แต่ไม่เข้าใจธรรมะ และยิ่งมีความกลัว ก็ยิ่งบูชา ยิ่งกลัวก็ยิ่งต้องบวงสรวง ซึ่งจริง ๆ ครูกายแก้ว ไม่ได้เก่งจริง ไม่ได้วิเศษอะไร ก็เหมือนคนเล่นกล หากเราศรัทธาคนเล่นกล ถามว่าเราจะรวยจริงหรือ แต่ถ้าเรามีสติรู้ว่าเขาเล่นกลให้ดู ก็จะรู้ว่าแค่เล่นกลให้ดูเท่านั้น”

“ในกลุ่มพระที่สนทนาเรื่องครูกายแก้ว เชื่อว่าเป็น มหิทธิกเปรต คือเปรตที่มีฤทธิ์มาก คือไตรภูมิ มี 4 ภูมิ สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย

ถ้าเราพูดแบบภาษาธรรม ที่ท่านพุทธทาส สอน ถ้าเราโง่ มึนเมา เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเราโกรธ เป็นสัตว์นรก ถ้าเราโลภ เป็นเปรต ถ้าเรากลัว เป็นอสุรกาย”

ในส่วนครูกายแก้ว ก็อาจจะมีฤทธิ์ เพราะได้ฝึกสมาธิ แต่เพราะเป็นมิจฉาสมาธิ หากจะเทียบกับคนที่มีปืน ก็สามารถทำให้คนที่พบเห็นกลัวได้ และเมื่อเราไปเป็นลูกสมุนของเขาถามว่าจะมีประโยชน์เพียงใด เพราะจริง ๆ ครูกายแก้วเป็นเพียงเปรตที่ฝึกสมาธิมาบ้างแต่เขาจะไม่สามารถช่วยเราได้จริง

พระอาจารย์ดุษฎี อธิบายว่า จริง ๆ สิ่งยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุด คือการยึดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรารู้จักไหว้พระสวดมนต์ ทำตัวให้เป็นคนมีศีล มีธรรมะ ไม่เบียดเบียนใคร เพราะเมื่อมีจิตใจที่มั่นคง ศีลก็จะรักษาเราไม่ให้ใครมาครอบงำ แต่คนที่บูชาครูกายแก้ว จะเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหว ไม่เชื่อมั่นตัวเอง ก็ต้องไปอาศัยสิ่งนอกเหนือธรรมชาติมาช่วย คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าการนับถือสิ่งต่าง ๆ ในสังคมมีการเปลี่ยนไป โดยพระอาจารย์ดุษฎี บอกว่า เดิมเรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ต่อมาเราเริ่มนับถือพระสงฆ์ 

ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) สร้างพระสมเด็จมาเป็นพระประธานในโบสถ์ ต่อมามีการสร้างพระบูชา เป็นรูปพระประธาน และมีรูปหลวงพ่อไว้ข้างหลัง ต่อมารูปพระประธานก็หาย เหลือแต่รูปหลวงพ่อ ผู้สร้าง จึงเป็นเหรียญหลวงพ่อนั้น หลวงพ่อนี้ไปแล้ว และมีการนำไปให้เช่าบูชากันต่อ ๆ มา

จากนั้นก็เป็นเรื่องของลูกศิษย์วัด เป็นผู้ดำเนินการต่อไป มีการสร้างปั่นกระแสบูชาสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นจตุคามรามเทพ ไอ้ไข่ พระพิฆเณศ เจ้าแม่กวนอิม ท้าวเวสสุวรรณ มีพญานาค ฯลฯ มาจนถึงที่กำลังโด่งดังคือครูกายแก้ว ที่จะออกไปทางไสยเวท จนสังคมไทยลืมหรือไม่รู้จักแล้วว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา



“จริง ๆ พระพุทธเจ้า ยกเลิกคัมภีร์พระเวทไปแล้ว เพราะมันทำให้คนงมงาย ไม่พัฒนาตัวเอง เพราะพระพุทธเจ้าเชื่อว่ามนุษย์พัฒนาตนเองอยู่ที่ความพยายามและเหนือกว่าอำนาจของเทพเจ้า เมื่อเรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เราพัฒนาตัวเอง เราเชื่อกฎแห่งกรรม ถ้าเราไม่ทำความดี ไม่อบรมตนเองมันไม่มีทางที่จะมีที่พึ่งที่ยั่งยืนได้ เพราะพระพุทธเจ้าอยู่สูงที่สุดแล้ว”

พระอาจารย์ดุษฎี บอกอีกว่า หากจะเทียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนนิยมหามาบูชา อย่างองค์จตุคามรามเทพ ก็คือเทพที่เฝ้าประตูทางเข้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพระธาตุคือพระพุทธเจ้า ที่ยอดเจดีย์เป็นทองคำ หยาดน้ำค้าง คือเป็นนิพพาน

‘เมื่อไปไม่ถึงพระพุทธเจ้า ก็บูชาคนเฝ้าประตู ซึ่งก็มีประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา แต่ตัวธรรมะที่จะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ มันอยู่ข้างใน”

สำหรับ ‘ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์’ จ.นครศรีธรรมราช คนก็ไปขอโน่น ขอนี่ ก็อยู่ที่ความเชื่อ แต่เราไม่สามารถหลุดพ้น หรือพ้นทุกข์ได้ดั่งคำสอนของพระพุทธองค์

“จตุคามและไอ้ไข่ ล้วนแต่อยู่กับพระ แต่ครูกายแก้วหลุดจากพุทธศาสนาไปแล้ว เป็นไสยเวท มนต์ดำ ต่ำกว่าเจ้าแม่กวนอิม ที่สอนเรื่องเมตตา พรหมวิหาร 4 เป็นขั้นพระโพธิสัตว์ ที่ยังไม่บรรลุธรรม อยู่ในขั้นการบำเพ็ญเพียร”

ส่วนท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ก็จริง แต่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า หรือพระอุปคุต อยู่ริมทะเล ก็เป็นพระอรหันต์ระดับสาวก มีโอกาสใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ได้บูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

“เทียบครูกายแก้ว อาตมาว่าระดับจิตต่ำกว่าพระพุทธเจ้าซึ่งสูงที่สุดแล้ว จึงไม่สามารถทำอะไรคนที่มีพุทธคุณหรอก เพราะยังมีกามคุณอยู่เลย แต่ไม่นานก็คงมีปั้นรูปอะไรที่ออกมาพิสดารน่ากลัวแทนครูกายแก้ว เพราะมันคือการตลาดที่สร้างรายได้ หากสังคมไม่ดี ก็จะทำให้คนเป็นผี แต่ถ้าสังคมดีก็จะทำให้ผีเป็นคนได้”

พระอาจารย์ดุษฎี สรุปทิ้งท้ายว่า การ ‘บูชาครูกายแก้ว ซึ่งเป็นมหิทธิกเปรต ผู้เปลี่ยนคนให้เป็นผี’ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องรีบแก้ไขโดยเฉพาต้องปรับปรุงเรื่องการศึกษาของพระสงฆ์ และต้องให้การศึกษาโดยตรงกับโยม เพราะถ้าโยมมีความรู้เรื่องธรรมวินัย โยมจะรู้เรื่อง พระสอนผิด ก็จะมาติติงพระสงฆ์ได้

ที่มา https://mgronline.com/specialscoop/detail/9660000074311