ที่ใดมีความร้อนมาก ที่นั้นจะหาพบความเย็นมาก

Share

พุทธทาส,

ลองคิดดูให้ดี ความร้อนน้อยดับลงไปมันก็มีความเย็นน้อย ความร้อนมากดับลงไปมันก็มีความเย็นมาก เพราะฉะนั้นความเย็นที่มากที่สุดนั้น จะต้องหาพบท่ามกลางความร้อนที่มากที่สุด

จึงเกิดคำอุปมาขึ้นมาอีกว่า จงพยายามหาจุดเย็นที่สุดในกลางเตาหลอม คำว่าเตาหลอมนี้ ตามธรรมดาเราก็พอจะเข้าใจกันได้ว่า มันมีความร้อนมาก ก็ต้องการหลอมโลหะ เย็นที่สุดอยู่ตรงใจกลางเตาหลอม

หมายความว่าดับความร้อนสูงสุดได้เท่าไร ก็มีความเย็นสูงสุดที่นั่น

เพราะฉะนั้นสังสารวัฏเท่าไร นิพพานก็เท่านั้น
สังสารวัฏร้อนเท่าไร นิพพานก็เย็นเท่านั้น
สังสารวัฏร้อนถึงที่สุด นิพพานก็เย็นถึงที่สุดเหมือนกัน

ซึ่งในที่นี้เราจะพูดว่า
จงหานิพพานที่ใจกลางแห่งสังสารวัฏ
คนโง่ก็หาไม่พบ คนมีปัญญาก็หาพบ

คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น
เย็นของวัตถุก็เป็นนิพพานของวัตถุ เช่น ถ่านไฟเย็นลง จนไม่ร้อนอีกต่อไป ก็เป็นนิพพานของวัตถุ

มนุษย์ที่หมดกิเลสโดยแท้จริงแล้ว เป็นความเย็นสนิทแล้ว นี้ก็เป็นความเย็น เป็นนิพพานของมนุษย์

ท่านจะต้องรู้ต่อไปว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานมีหลายชนิด แต่พอเมื่อกล่าวโดยความหมายที่กว้างขวางที่สุดแล้ว มีความหมายอย่างเดียวกันหมด ก็ยังดับอยู่ เย็นอยู่ สงบอยู่ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่ประการใดอยู่ นี้เรียกว่านิพพาน


วัฏสงสารก็มีอยู่แล้วในร่างกายของคนเป็นๆ
นิพพานก็มีอยู่แล้วในร่างกายของคนเป็นๆ
เมื่อมันเดือดขึ้นมาก็เป็นวัฏสงสาร
เมื่อมันดับเย็นอยู่ตามปกติมันก็เป็นนิพพาน

ควรจะระลึกนึกถึงพระพุทธสุภาษิตอีกส่วนหนึ่งที่ว่า จิตนี้เป็นประภัสสร แต่จิตนี้เศร้าหมอง เพราะอาคันตุกะคือกิเลสที่จรเข้ามา นี่แหละคือลักษณะที่เรียกว่ายังเย็นอยู่ ยังหยุดอยู่ ยังสงบอยู่ ยังเป็นนิพพานอยู่ชนิดหนึ่ง

ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า นามรูปนี้เดือดขึ้นมาเมื่อไรก็เป็นวัฏสงสาร นามรูปนี้หยุดอยู่ สงบอยู่ตามเดิมเมื่อไรก็เป็นนิพพาน

ทุกคนจะต้องระลึกนึกถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ของตัวเท่าที่เกี่ยวกับตัวเอง คือที่รู้ได้ด้วยใจเองในใจของตัวเองว่า ตัวเรานี้ คือร่างกายหรือนามรูปนี้ บางเวลามันร้อนมันเดือดขึ้นมา บางเวลามันก็เย็นสบายอยู่ แล้วคิดดูให้ดีเวลาที่มันเดือดมันร้อนขึ้นมานั้นเป็นชั่วครู่ชั่วยามและเป็นส่วนน้อย เวลาที่มันสงบอยู่ ไม่เดือดนั้นมีมากกว่า เช่น เวลานอนหลับ หรือเวลาที่ไม่รัก ไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่โง่ ไม่หลง ไม่อะไรนะ ทั้งหมดนี้มันก็ยังเย็นอยู่ ยังสงบอยู่ เวลาที่นอนหลับเป็นเวลาที่ได้กำไร ที่มันหยุดอยู่ ไม่เดือด เวลาที่ตื่นอยู่นี้ส่วนมากก็ยังหยุดอยู่ แม้จะพูดจะคิดจะทำอะไรก็ยังทำได้ แต่จิตไม่ปรุงเป็นตัวกูของกู คือไม่ปรุงเป็นโลภะ โทสะ โมหะแล้ว ก็ยังเรียกว่าหยุดอยู่ ดับอยู่ เย็นอยู่ พิจารณาดูให้ดีจะเห็นได้ว่า เมื่อเราตื่น ๆ อยู่นี่แหละ เวลาที่มันหยุดอยู่หรือดับอยู่นั้นยังมีมากกว่าที่เวลามันเดือดพล่านขึ้นมา เดือดพล่านมาเมื่อใดเป็นวัฏสงสารเมื่อนั้น เย็นอยู่ ดับอยู่ตามเดิมเมื่อใดก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น

เราจะเห็นได้ว่าเรานี้อยู่กันได้ด้วยนิพพาน ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเป็นบ้าตายไปแล้ว เป็นโรคเส้นประสาทตายไปแล้ว เวลาที่มันหยุดอยู่เย็นอยู่นั้นมันมีมากกว่าเวลาที่มันเดือด เราจึงพออยู่กันมาได้ ไม่เป็นบ้าตาย หรือไม่เป็นโรคอะไรตายเสียก่อน เพราะฉะนั้นต้องขอบใจสิ่งที่เรียกว่านิพพาน

ทีนี้ปัญหามันก็มีเหลืออยู่นิดเดียวแต่เพียงว่า นิพพานนั้นเป็น นิพพานถาวรหรือไม่ถาวร ถ้าเป็นนิพพานไม่ถาวรมันก็เปลี่ยนแปลงได้ เราต้องทำให้เป็นนิพพานที่ถาวร คือไม่เปลี่ยนแปลง เรารู้จักทำให้เป็นนิพพานที่ถาวร คือยืดยาวไปหรือว่าไม่เปลี่ยนแปลงได้เท่าไร

พุทธทาสภิกขุ

เรียบเรียงจาก เทศน์พิเศษวันเกิดอาจารย์ ช่วย แสงสุชาติ

ฟัง / อ่านฉบับเต็มได้ที่
http://sound.bia.or.th/catalogue.php?item_code=1945110602000