จิตว่าง หรือ จิตวุ่น

Share

พุทธทาส,

เราจะต้องรู้ธรรมะให้ยิ่งไปกว่าที่เรามีอยู่ในลักษณะที่ไม่สามารถจะทำให้เกิดความพอใจในธรรม หรือความสดใส แจ่มใสตามทางธรรม หรือความสะอาด สว่าง สงบได้ เรายังชอบความวุ่นวาย เรายังไม่ชอบความสงบ

    เราไม่รู้ว่าเวลาว่างนั่นแหละเป็นเวลาสบาย ไม่ใช่เวลาวุ่น เป็นเวลาสบาย เวลาวุ่นอย่างดีที่สุดก็เป็นเรื่องสนุกสนานไปตามประสาคนโง่ๆเขลาๆ แต่เวลาว่างนั้นเป็นเวลาสบาย

แล้วเวลาที่ไม่หาบ ไม่หามอะไรเอาไว้ นั่นแหละเป็นเวลาเบา

เวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีตัวเราหรือมีของเรา นั่นแหละเป็นเวลาที่เบาที่สุด ไม่มีเวลาไหนจะเบายิ่งไปกว่านั้นแล้ว

แล้วเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร เป็นของเราเลย นั่นแหละเป็นเวลาที่เป็นสุขที่สุด

    เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีอะไรมากอย่างแล้วต้องล้วนแต่รับผิดชอบไปทั้งนั้น เราก็จะมีความทรมานใจ เป็นการตกนรกชนิดหนึ่งทีเดียว

    จงทบทวนดูใหม่ว่าเวลาที่เราไม่วุ่น เราว่างนั้นเราชอบ เราชอบอยู่ว่างๆ ไม่ให้มีใครมากวน แล้วเวลาที่เราไม่หาบอะไรไว้บนบ่า ไม่ทูนอะไรไว้บนศีรษะเลย  นี้เรียกว่าเป็นเวลาเบาสบาย

    เรากำลังหาบอะไร ทูนอะไร เรากำลังหาบสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา นี้เป็นของหนักที่สุด เป็นขันธ์ทั้ง ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ประกอบอยู่ในอุปาทานนี้เป็นของหนักที่สุด โดยมีอุปาทานว่าตัวเราบ้าง ว่าของเราบ้าง ตามสัดส่วนของขันธ์นั้นๆ มันก็กลายเป็นของหนักขึ้นมา มีตัวเราเมื่อไรก็มีโซ่ตรวนร้อยรัดจิตใจเมื่อนั้น ไม่รู้สึกว่ามีตัวเราก็มีความเบาสบาย

    ขอให้สังเกตต่อไปว่าเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเลย นี้เป็นเวลาที่เป็นสุขที่สุด ท่านมาในสถานที่อย่างนี้ รู้สึกว่าเป็นสุขสบาย เหมือนคนทั้งหลายที่มาแล้วเป็นอันมากและพูดกันว่าทำไมจึงรู้สึกสบายใจบอกไม่ถูก แต่แล้วเขาก็หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพราะเหตุไร แต่ถ้าเขาจะมองดูสังเกตดู พินิจพิจารณาดูสักนิดหนึ่งเท่านั้น เขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเมื่อเรานั่งอยู่ที่นี่ เราไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นของเรา เพราะเราเดินอยู่ที่นี่ เราไม่รู้สึกว่ามีอะไรเป็นของเรา เราลืมไปหมดในความรู้สึกที่ว่ามีอะไรเป็นของเรา จิตของเราว่างจากความยึดถือว่าอะไรเป็นของเรา เราจึงมีความสบายใจชนิดที่บอกไม่ได้ บอกไม่ถูก คือเกินกว่าที่จะพรรณนาได้นั่นเอง เพราะว่าเวลานี้เรากำลังลืมไปแม้กระทั่งตัวเรา ลืมไปแม้กระทั่งว่าเรามีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป เราสลัดออกไปแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าชีวิต นี้เป็นความสลัดออกไปยิ่งกว่าเงินทองข้าวของอะไรต่างๆเสียอีก ฉะนั้นจึงมีความเบาสบายถึงที่สุด แต่เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเลยนั้น เป็นเวลาที่เป็นสุขที่สุด เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ความเข้าใจในข้อนี้กันบ้าง เพราะจะเป็นการเลื่อนชั้นตัวเองให้สูงขึ้นมาพอสมควรแก่เวลาสมัยนี้ ซึ่งล้วนแต่เขาพากันเลื่อนชั้นสิ่งต่างๆอยู่ด้วยกันทั้งนั้น