picture20230806003853

"รู้แล้ว" และ "รู้งี้"

byBIA Thai
วันที่
Share

เราเรียนเพื่อรู้ ด้วยเหตุนี้คำว่าเรียนรู้ มันจึงมี 2 คำนี้ควบคู่กันไปตลอดเวลา คือเรียนแล้วก็รู้ เราเรียนเพื่อรู้ อันนี้เป็นจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการแรกเลยของการเรียน ส่วนเรื่องอย่างอื่นนั้นตามมาทีหลัง ถ้าเรียนแล้วไม่รู้อะไรเลย มันก็สูญเปล่า แม้เรียนแล้วจะได้คะแนนได้เกรดดี แต่ไม่ได้รู้อะไรเลย อันนั้นก็เปล่าประโยชน์

คำว่ารู้เป็นคำที่มีความสำคัญ แล้วเราจะรู้ได้ ส่วนหนึ่งก็อาศัยการเรียน แต่ก็อย่างที่บอก เรียนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อรู้ ยิ่งในยุคนี้แล้ว คำว่ารู้เป็นสิ่งสำคัญมากเลย แต่ว่ารู้บางอย่างมันก็อาจจะไม่ดี รู้ส่วนใหญ่มันก็มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการรู้ทางโลก ไม่ว่าจะเป็นการรู้ทางธรรม แต่มันมีรู้บางอย่างที่ไม่มีประโยชน์ บางทีก็เป็นผลเสียเลย เช่นอะไร เช่นรู้แล้ว คำว่ารู้แล้วนี่ ถ้ามันออกมาจากปากของใคร หรือว่ามันอยู่ในความคิดของใคร อันนี้มันเกิดผลเสียนะ อย่างลูกบอกพ่อว่าสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งนะ พ่อบอกรู้แล้ว หรือพ่อแนะนำลูกว่า เล่นเกมออนไลน์นี่มันไม่ดีนะ หรือบางทีสอนลูกด้วยซ้ำ กินเหล้ามันไม่ดีนะ เด็กตอบว่ารู้แล้ว ไม่ว่าใครที่บอกว่ารู้แล้วนี่ มันแปลว่าอะไร มันแปลว่าการเรียนรู้ไม่ค่อยเกิดขึ้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เราบอกว่ารู้แล้วๆ มันแปลว่าการเปิดใจรับความรู้ใหม่ๆ มันไม่เกิดขึ้นเลย

    เวลาใครพูดว่ารู้แล้ว บางทีมันแปลว่าเขาไม่ได้รู้อะไรเลย หรือเขาไม่เปิดใจฟัง ไม่ไว่าจะเป็นความรู้ ความคิด ความเห็น หรือคำแนะนำ รู้แล้วเมื่อไหร่นี่ ก็แปลว่าการเรียนรู้ไม่เกิดขึ้นแล้ว

แล้วคนเราพอยิ่งมีอายุมาก มีประสบการณ์มาก หรือแม้แต่เรียนมามาก มันก็ง่ายที่จะบอกว่ารู้แล้ว เด็กแนะนำผู้ใหญ่ ลูกแนะนำพ่อ ผู้ใหญ่หรือพ่อบอกรู้แล้ว ตรงนี้น่ากลัว หรือน่าเป็นห่วงว่าการเรียนรู้มันเกิดขึ้นเลย

รู้อะไรก็ไม่แย่เท่ากับรู้แล้วนะ  ฉะนั้นบางทีเราต้องตั้งคำถามกับตัวเราเองว่า เราคิดว่าเรารู้แล้วมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าหากว่าเรารู้แล้ว มันก็จะแปลว่าเราไม่รู้อะไรเลย หรือรู้น้อยมาก แต่บางทีความเป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า หรือว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ก็ทำให้เราคิดว่าที่ใครๆ  พูดมา ที่ใครๆ แนะนำมา โดยเฉพาะคนที่มีอายุน้อยกว่า อ่อนเยาว์กว่า เราก็จะบอกว่ารู้แล้ว

บางทีเด็กก็พูดอย่างนั้นกับพ่อแม่ ซึ่งมันกลายเป็นคำข้ออ้าง ในการที่จะไม่ฟัง หรือว่าไม่ปฏิบัติตาม เพราะฉันรู้

แล้วนอกจากรู้แล้วมันมีรู้อีกอย่างหนึ่งที่มันไม่ดีเลย หรือเกิดประโยชน์น้อย คือ “รู้้งี้” เวลาใครบอกว่ารู้งี้ มันแปลว่าสิ่งที่รู้มันสายไปแล้ว อย่างคนป่วยบางคนเป็นมะเร็งปอดก็บอก รู้งี้ฉันไม่สูบบุหรี่ดีกว่า หรือตับแข็งรู้งี้ฉันไม่กินเหล้าดีกว่า รู้งี้ฉันเลิกไปนานแล้ว หรือบางคนเป็นโรคหัวใจ จนกระทั่งนอนติดเตียง รู้งี้ฉันออกกำลังกายบ่อยๆ ดีกว่า หรือว่ารู้งี้ฉันจะไม่กินพวกไขมัน พวกเนื้อสัตว์เยอะ คนที่เป็นเบาหวานก็เหมือนกัน พออาการมันหนักกำเริบมากขึ้น รู้งี้ฉันไม่กินน้ำอัดลมวันละ 3 ขวด 5 ขวด หรือว่ากินของหวานเยอะๆ

บางคนก็บอกว่ารู้งี้ก็จะให้เวลากับพ่อแม่มากขึ้น จะไปเยี่ยมท่านให้มากขึ้น ไม่ใช่มัวแต่ทำงาน เวลาพูดแบบนี้แปลว่าอะไร แปลว่าสายไปแล้ว บางทีพ่อแม่ก็อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว มารู้งี้ก็ตอนที่ท่านจากไปแล้ว หรือบางคนพอป่วยหนัก ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย เพราะเป็น คนที่ไม่เอาเพื่อน เป็นคนที่เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน คิดแต่จะไต่เต้าเอาดี โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของเพื่อนๆ ถึงเวลาป่วยหนักก็ไม่มีใครมาเยี่ยม ก็พูดว่ารู้งี้ฉันจะใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนมากกว่านี้ ฉันจะไม่เอาเปรียบเพื่อนอย่างที่ได้ทำไป

ทั้งหมดนี้มันเป็นความรู้ที่สายไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงเป็นการรู้ที่ไร้ประโยชน์ รู้งี้นี่ สองคำนี้ สองรู้นี่ รู้แล้วกับรู้งี้ พยายามให้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตเราให้น้อยที่สุด เท่าที่จะทำได้จะดีกว่า

 

บางทีคนที่บอกว่ารู้แล้วๆ สุดท้ายพอป่วยหนัก เพราะว่าโรคมะเร็งปอด หรือเพราะตับแข็ง คนที่บอกว่ารู้แล้วเมื่อ 10 ปีที่ 20 ปีที่แล้ว ก็กลายเป็นคนที่มาบอกว่ารู้งี้ ฉันไม่สูบบุหรี่กินเหล้า หรือว่ารู้งี้ฉันจะออกกำลังกายมากกว่านี้ แต่ก่อนหน้านั้นพอมีคนแนะนำ ก็บอกว่ารู้ แล้วๆ แปลว่าไม่ต้องพูดมาก แต่ว่าตัวเองก็ไม่ได้ทำ ไม่ได้น้อมมาใส่ใจ ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม กินเหล้าสูบบุหรี่ หรือว่ากินอาหารตามใจปาก จนกระทั่งเกิดความเจ็บป่วยขึ้น แล้วก็ระลึกนึกได้ก็เลยบอกรู้งี้ ฉันน่าจะเลิกกินเหล้า น่าจะเลิกสูบบุหรี่ อย่าให้คำว่ารู้แล้ว รู้งี้ มันเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของเรา

พระไพศาล วิสาโล

Share

Related Articles