“หอจดหมายเหตุศาสนธรรม” (Religious Archives) ในบริบทโลกและไทย
หอจดหมายเหตุศาสนสถาน

"หอจดหมายเหตุศาสนธรรม" (Religious Archives) ในบริบทโลกและไทย

byภัทรดร ภิญโญพิชญ์

กำเนิดและวิวัฒนาการของหอจดหมายเหตุศาสนธรรม

การจัดเก็บเอกสารเป็นกิจกรรมพื้นฐานของอารยธรรมมนุษย์ โดยมีรากฐานย้อนไปถึงยุคสุเมเรียนที่ใช้กระดองเต่าจารึกข้อมูลทางศาสนาและการปกครอง ในอารยธรรมโบราณอย่างกรีกและโรม บันทึกสำคัญมักถูกเก็บไว้ในวิหารหรือศาสนสถานเพื่ออาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ในการรับประกันความปลอดภัย แนวคิดนี้ได้รับการสืบทอดในศาสนาคริสต์ยุคแรก ซึ่งตระหนักถึงความจำเป็นในการเก็บรักษาพระคัมภีร์และบันทึก “กิจการของมรณสักขี” (Acts of the Martyrs) อันเป็นเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนา นักบุญเคลเมนต์แห่งโรม (St. Clement) ได้แต่งตั้งอาลักษณ์ขึ้นเพื่อบันทึกเรื่องราวเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบของคริสตจักร

เมื่อโครงสร้างของคริสตจักรซับซ้อนขึ้น ขอบเขตของงานจดหมายเหตุก็ขยายตัวสู่การบันทึกการบวชและมติของสภาสังคายนา ในช่วงยุคกลาง อาราม (monastery) ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญในการพิทักษ์องค์ความรู้ โดยไม่เพียงแต่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา แต่ยังคัดลอกและรวบรวมวรรณกรรมคลาสสิกที่หลงเหลือรอดจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก การจัดตั้ง “ห้องคัดลอกคัมภีร์” หรือ scriptorium ทำให้อารามกลายเป็นคลังสมบัติที่เต็มไปด้วยเอกสารตัวเขียนหายากและเอกสารสำคัญต่างๆ

วิวัฒนาการของหอจดหมายเหตุศาสนธรรมมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อมีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการตามพระบัญชา ในปี ค.ศ. 1587 พระสันตะปาปาซิกซ์ตุสที่ (Pope Sixtus V) ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ทุกสังฆมณฑลและคณะนักบวชต้องจัดตั้งและดูแลรักษาหอจดหมายเหตุของตนเอง คำสั่งนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของเครือข่ายหอจดหมายเหตุคาทอลิกทั่วโลก และหลักการนี้ยังคงถูกสืบทอดมาจนถึงประมวลกฎหมายพระศาสนจักร (Code of Canon Law) ฉบับปี ค.ศ. 1983 ซึ่งระบุให้ต้องมีการปกป้องดูแลเอกสารของสังฆมณฑลอย่างดีที่สุด เส้นทางวิวัฒนาการนี้สะท้อนการเดินทางของตัวศาสนาเอง จากการเป็นคลังเก็บศรัทธาสู่การเป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการบริหารปกครององค์กรระดับโลก

สำรวจหอจดหมายเหตุศาสนธรรมในประเทศไทย

มรดกธรรมพุทธทาส: หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สวนโมกข์กรุงเทพ” ไม่ได้เป็นเพียงหอจดหมายเหตุในความหมายดั้งเดิม แต่เป็น “แหล่งเรียนรู้ด้านศาสนธรรมอันรื่นรมย์” ที่มีชีวิตชีวา ก่อตั้งขึ้นโดยมีพันธกิจหลักในการรวบรวม อนุรักษ์ และเผยแผ่มรดกธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุในรูปแบบที่ร่วมสมัย เป้าหมายของหอจดหมายเหตุแห่งนี้คือการก้าวสู่การเป็นหอจดหมายเหตุทางศาสนธรรมตามมาตรฐานสากล นำพาผู้คนให้เข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา และสร้างเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนงานธรรมในสังคม

สิ่งที่น่าสนใจคือภารกิจของสวนโมกข์กรุงเทพได้ขยายขอบเขตไปไกลกว่าการเก็บรักษางานของท่านพุทธทาส โดยสืบสานปณิธาน 3 ประการของท่าน ได้แก่ การเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน, การทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา, และการดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาจากวัตถุนิยม  แนวคิดนี้สะท้อนออกมาในการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นความเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติ คลังข้อมูลของที่นี่ประกอบด้วยสื่อหลากหลายประเภท ทั้งเสียงธรรมบรรยาย ภาพถ่าย วีดิทัศน์ หนังสือ และต้นฉบับเอกสารลายมือของท่านพุทธทาส รวมถึงมีจดหมายเหตึดิติทัลเพื่อความสะดวกในการใช้งาน

นอกจากเก็บนรักษามรดกธรรมของพุทธทาสแล้ว ที่นี่ยังทำหน้าที่เป็น Spiritual Fitness Edutainment เพื่อให้คนที่เข้ามาได้ฝึกให้มีความกล้าแข็งของจิตใจ ได้เรียนรู้ธรรมะอย่างเพลิดเพลินกับกิจกรรมทางจิตวิญญาณโดยไม่จำกัดศาสนา

ประวัติศาสตร์คาทอลิก: หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

หอจดหมายเหตุแห่งนี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย ตั้งอยู่ในอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2388 เอกสารล้ำค่าส่วนใหญ่เป็นบันทึกที่เขียนด้วยลายมือของมิชชันนารีชาวฝรั่งเศส มีอายุย้อนไปได้ถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ความหลากหลายทางภาษาของเอกสารเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ประกอบด้วยภาษาไทย ภาษาละติน ภาษาฝรั่งเศส และ “ภาษาวัด” ซึ่งเป็นภาษาไทยที่บันทึกด้วยอักษรโรมัน อันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนคาทอลิกในอดีต

เนื้อหาในหอจดหมายเหตุมิได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องราวทางศาสนา แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สังคมและสถาปัตยกรรมของไทยอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เอกสารเกี่ยวกับการก่อสร้างวัดกาลหว่าร์ (วัดแม่พระลูกประคำ) ที่เปิดเผยข้อมูลผู้รับเหมาก่อสร้าง แหล่งที่มาของวัสดุที่นำเข้าจากฝรั่งเศส และรายชื่อผู้บริจาค นอกจากเอกสารลายลักษณ์แล้ว ที่นี่ยังเก็บรักษาวัตถุสำคัญอื่นๆ เช่น อาสนะของพระสังฆราชที่นำมาจากโบสถ์นักบุญยอแซฟ อยุธยา และหนังสือมิสซาภาษาละตินที่เลิกใช้หลังการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 หอจดหมายเหตุแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายหอจดหมายเหตุของสังฆมณฑลคาทอลิกทั่วประเทศ

มรดกโปรเตสแตนต์: หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพายัพ

หอจดหมายเหตุแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2521 หลังจากมีการค้นพบเอกสารเก่าของมิชชันนารีในคลังเก็บของระหว่างการเฉลิมฉลอง 150 ปีโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย โดยมีภารกิจหลักในการเก็บรักษาและให้บริการเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์และสภาคริสตจักรในประเทศไทย (CCT)

เอกสารในคลังมีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การเดินทางมาถึงของมิชชันนารีกลุ่มแรกในปี พ.ศ. 2371 การก่อตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ไปจนถึงการรวมตัวของคณะมิชชันนารีต่างๆ ก่อตั้งเป็นสภาคริสตจักรในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2477 10 การเดินทางของหอจดหมายเหตุเองก็สะท้อนถึงการเติบโต จากที่ทำการแรกเริ่มสู่การย้ายที่ตั้งหลายครั้ง จนปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของอาคารศูนย์ทรัพยากรการเรียนรู้สิรินธรในมหาวิทยาลัยพายัพ 10

จารึกอิสลาม: ประเพณีการเก็บรักษาเอกสารและคัมภีร์

แม้ประเทศไทยจะยังไม่มี “หอจดหมายเหตุอิสลามแห่งชาติ” ที่เป็นศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว แต่มรดกเอกสารตัวเขียนของศาสนาอิสลามนั้นมีอยู่มากมายและได้รับการเก็บรักษาอย่างดีในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ พิพิธภัณฑ์อะห์มาดิยะห์ อิสลามียะห์ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อัลกุรอานฉบับเขียนที่เก่าแก่ที่สุดของอินโดนีเซีย ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2177 โดยชัยค์นูรุดดีน มูฮัมหมัด ฮามิด โรนิรี การอนุรักษ์มรดกเหล่านี้มักเป็นความพยายามของชุมชนท้องถิ่นที่ใช้ส่วนผสมแบบดั้งเดิมในการดูแลรักษา

ในระดับนานาชาติ ความพยายามในการอนุรักษ์ได้รับการส่งเสริมผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ ดังเช่นโครงการความร่วมมือระหว่างไทยและอิหร่านที่ริเริ่มในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 เพื่อการอนุรักษ์และจัดทำสำเนาดิจิทัลของคัมภีร์อัลกุรอานฉบับเขียนที่หายาก โครงการนี้รวมถึงการจัดอบรมเชิงลึกให้แก่ผู้เชี่ยวชาญไทยในศูนย์อนุรักษ์ชั้นนำของอิหร่าน ครอบคลุมเทคนิคการซ่อมแซมสมัยใหม่ จุลชีววิทยาของกระดาษ ไปจนถึงการจัดทำรายการดิจิทัล 12 ในขณะเดียวกัน การบริหารกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยโดยคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ก็ได้สร้างชุดเอกสารจดหมายเหตุสมัยใหม่ขึ้นมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กร การออกประกาศ และการรับรองมาตรฐานฮาลาล

บทบาทของรัฐ: สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมศิลปากร มีภารกิจในการรวบรวมและอนุรักษ์เอกสารสำคัญของชาติจากทั้งภาครัฐและเอกชน บทบาทของสำนักฯ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการ “จดบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับพระราชพิธี รัฐพิธี และศาสนพิธี” ซึ่งเป็นการสร้างบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับชีวิตทางศาสนาของชาติ ตัวอย่างเช่น การบันทึกเหตุการณ์ในงานฉลองพระชนมายุสมเด็จพระสังฆราช 20 หรือการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีท้องถิ่นอย่างประเพณีสารทเดือนสิบ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติจดหมายเหตุยังให้อำนาจสำนักฯ ในการจัดหา ซื้อ หรือรับบริจาคเอกสารที่มีคุณค่าจากภาคเอกชน ซึ่งรวมถึงเอกสารทางศาสนาด้วย

ตารางที่ 1: สรุปภาพรวมหอจดหมายเหตุศาสนธรรมในประเทศไทย

ชื่อหอจดหมายเหตุ/สถาบัน สังกัดศาสนา ที่ตั้ง/หน่วยงานกำกับ ลักษณะเด่นของคลังข้อมูลและคุณค่าทางประวัติศาสตร์
หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) พุทธศาสนา กรุงเทพมหานคร (มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ) เป็น “หอจดหมายเหตุที่มีชีวิต” รวบรวมมรดกธรรมของท่านพุทธทาส (เสียง, ภาพ, หนังสือ, ต้นฉบับ) และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา
หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ คริสต์ (โรมันคาทอลิก) กรุงเทพมหานคร (อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ) เก็บเอกสารลายมือมิชชันนารีตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ในหลายภาษา (ไทย, ละติน, ฝรั่งเศส, ภาษาวัด) และวัตถุทางศาสนาที่สำคัญ
หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยพายัพ คริสต์ (โปรเตสแตนต์) จ.เชียงใหม่ (มหาวิทยาลัยพายัพ) รวบรวมเอกสารประวัติศาสตร์ของสภาคริสตจักรในประเทศไทย (CCT) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2371 ครอบคลุมการก่อตั้งโรงเรียนและโรงพยาบาล
คลังเอกสารตัวเขียนอิสลาม (กระจัดกระจาย) อิสลาม ชุมชนต่างๆ (เช่น พิพิธภัณฑ์อะห์มาดิยะห์ฯ จ.นราธิวาส) เก็บรักษาคัมภีร์อัลกุรอานและเอกสารตัวเขียนโบราณ มีการอนุรักษ์ในระดับชุมชนและผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศ (ไทย-อิหร่าน)
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ทุกศาสนา (ในฐานะหน่วยงานรัฐ) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่ตามกฎหมายในการบันทึก “ศาสนพิธี” สำคัญของชาติ และรับมอบ/จัดหาเอกสารทางศาสนาจากเอกชนเพื่อเป็นมรดกของชาติ

สำรวจหอจดหมายเหตุศาสนธรรมในต่างประเทศ

ในระดับนานาชาติ หอจดหมายเหตุศาสนธรรมที่มีชื่อเสียงหลายแห่งมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมและการเมือง

  • หอจดหมายเหตุสันตะสำนัก (Vatican Apostolic Archive): เดิมชื่อ “หอจดหมายเหตุลับวาติกัน” ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1612 มีชั้นวางเอกสารยาวรวม 8 กิโลเมตร เก็บเอกสารล้ำค่าที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลก เช่น พระสมณสาสน์ประกาศขับไล่มาร์ติน ลูเทอร์ บันทึกการไต่สวนอัศวินเทมพลาร์และกาลิเลโอ และคำร้องขอให้การสมรสเป็นโมฆะของพระเจ้าเฮนรีที่ 8
  • ห้องสมุดอารามซากยา (Sakya Monastery Library) ทิเบต: ในปี ค.ศ. 2003 มีการค้นพบคัมภีร์และเอกสารตัวเขียนมากถึง 84,000 ฉบับที่ถูกปิดผนึกไว้ ซึ่งไม่เพียงแต่มีคัมภีร์ทางพุทธศาสนา แต่ยังรวมถึงงานเขียนทางโลกในสาขาต่างๆ และมีคัมภีร์เล่มหนึ่งที่หนักกว่า 500 กิโลกรัม ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนังสือที่หนักที่สุดในโลก
  • คลังข้อมูลสำคัญอื่นๆ: รวมถึง Christian Brethren Collections ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นคลังข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มพลีมัธเบรธเรนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ
    The Episcopal Church Archives ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างอัตลักษณ์แองกลิกันในประเทศใหม่ 21 นอกจากนี้ยังมีคลังเอกสารยิวและอิสลามที่สำคัญซึ่งกระจายตัวอยู่ตามสถาบันต่างๆ ทั่วโลก

ตัวอย่างเหล่านี้เผยให้เห็นว่าหอจดหมายเหตุศาสนธรรมไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นกลาง แต่เป็นสถานที่ซึ่งสะท้อนถึงอำนาจ ตำนาน และภูมิรัฐศาสตร์อย่างลึกซึ้ง

ตารางที่ 2: สรุปภาพรวมหอจดหมายเหตุและคลังเอกสารศาสนธรรมสำคัญทั่วโลก

ชื่อหอจดหมายเหตุ/คลังข้อมูล ที่ตั้ง สังกัดศาสนา ลักษณะเด่นของคลังข้อมูลและคุณค่าระดับโลก
หอจดหมายเหตุสันตะสำนัก (Vatican Apostolic Archive) นครรัฐวาติกัน คริสต์ (โรมันคาทอลิก) มีชั้นวางยาว 85 กม. เก็บเอกสาร 12 ศตวรรษ รวมถึงเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์โลก เช่น การขับไล่มาร์ติน ลูเทอร์ และการไต่สวนกาลิเลโอ
ห้องสมุดอารามซากยา (Sakya Monastery Library) ทิเบต พุทธ (ทิเบต) ค้นพบเอกสาร 84,000 ฉบับที่ถูกปิดผนึกไว้ มีคัมภีร์หนัก 500 กก. และเอกสารทางโลกหลากหลายสาขา
Christian Brethren Collections มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์, สหราชอาณาจักร คริสต์ (โปรเตสแตนต์) คลังข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกี่ยวกับกลุ่มพลีมัธเบรธเรนและงานเผยแผ่ศาสนาในศตวรรษที่ 19-20
The Episcopal Church Archives สหรัฐอเมริกา คริสต์ (โปรเตสแตนต์) ก่อตั้งปี ค.ศ. 1835 เพื่อสร้างอัตลักษณ์และสืบทอดรากฐานแองกลิกันในสหรัฐอเมริกา
คลังเอกสารตัวเขียนอิสลาม (Islamic Manuscript Collections) มหาวิทยาลัยต่างๆ (เช่น พรินซ์ตัน, มิชิแกน) อิสลาม รวบรวมเอกสารตัวเขียนภาษาอาหรับ เปอร์เซีย และตุรกีที่สำคัญจำนวนมาก สะท้อนมรดกทางปัญญาของโลกอิสลาม

อนาคตของอดีต: ความท้าทายและนวัตกรรม

โลกยุคดิจิทัลได้นำมาซึ่งความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่ซับซ้อนสำหรับหอจดหมายเหตุศาสนธรรม

ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในยุคดิจิทัล: จริยธรรมในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร

การแปลงเอกสารเป็นดิจิทัล (Digitization) แม้จะช่วย “ทำให้การเข้าถึงเป็นประชาธิปไตย” แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายเชิงจริยธรรม:

  • จริยธรรมในการคัดเลือก: การตัดสินใจว่าเอกสารใดควรได้รับการแปลงเป็นดิจิทัลอาจมีอคติจากแหล่งทุนหรือลำดับความสำคัญของสถาบัน
  • กรรมสิทธิ์และการเข้าถึง: การสร้างสำเนาดิจิทัลทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และอาจสร้างความเหลื่อมล้ำในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ลัทธิอาณานิคมดิจิทัล” (digital colonialism) ซึ่งชุมชนเจ้าของมรดกอาจขาดโครงสร้างพื้นฐานในการเข้าถึงข้อมูลของตนเอง
  • ความเป็นส่วนตัว: การแปลงเอกสารเป็นดิจิทัลอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมหาศาล ซึ่งขัดแย้งกับพันธะในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI): ความท้าทายใหม่ที่สำคัญคือการที่บริษัท AI ทำการ “ขุด” หรือ “กวาด” ข้อมูลจากคลังดิจิทัลเพื่อนำไปใช้ฝึกฝนแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) โดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งก่อให้เกิดคำถามเชิงจริยธรรมที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการให้ความยินยอมและทรัพย์สินทางปัญญา

บทสรุป: การธำรงรักษาพันธะอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อคนรุ่นต่อไป

ความท้าทายเร่งด่วนที่สุดประการหนึ่งคือชะตากรรมของหอจดหมายเหตุของสถาบันศาสนาที่กำลังจะปิดตัวลง ซึ่งบันทึกของพวกเขากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะสูญหายไปตลอดกาล เส้นทางข้างหน้าต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสถาบัน, การพัฒนากรอบจริยธรรมใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัล และการตระหนักว่าการอนุรักษ์มรดกเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของพันธกิจทางจิตวิญญาณ

ท้ายที่สุดแล้ว หอจดหมายเหตุมิใช่ภารกิจที่เป็นเพียงส่วนเสริม แต่คือ “พันธะอันศักดิ์สิทธิ์” (sacred trust) ที่คนรุ่นปัจจุบันมีต่อคนรุ่นอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องราวแห่งศรัทธา การต่อสู้ และความหวังของมนุษยชาติจะยังคงได้รับการเก็บรักษาและเป็นแรงบันดาลใจต่อไป

Share