พุทธทาสภิกขุ: นิพพานในสังสารวัฏ และเพลงกล่อมลูกโลกุตระ
พุทธทาสภิกขุเคยกล่าวว่า “นิพพานหาได้ในสังสารวัฏ” คือ “ตัวเรานี้ คือร่างกายหรือนามรูปนี้ บางเวลามันร้อนมันเดือดขึ้นมา บางเวลามันก็เย็นสบายอยู่ แล้วคิดดูให้ดีเวลาที่มันเดือดมันร้อนขึ้นมานั้นเป็นชั่วครู่ชั่วยามและเป็นส่วนน้อย เวลาที่มันสงบอยู่ ไม่เดือดนั้นมีมากกว่า เช่น เวลานอนหลับ หรือเวลาที่ไม่รัก ไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่โง่ ไม่หลง ไม่อะไรนะ ทั้งหมดนี้มันก็ยังเย็นอยู่ ยังสงบอยู่ เวลาที่นอนหลับเป็นเวลาที่ได้กำไร ที่มันหยุดอยู่ ไม่เดือด เวลาที่ตื่นอยู่นี้ส่วนมากก็ยังหยุดอยู่ แม้จะพูดจะคิดจะทำอะไรก็ยังทำได้ แต่จิตไม่ปรุงเป็นตัวกูของกู คือไม่ปรุงเป็นโลภะ โทสะ โมหะแล้ว ก็ยังเรียกว่าหยุดอยู่ ดับอยู่ เย็นอยู่ พิจารณาดูให้ดีจะเห็นได้ว่า เมื่อเราตื่น ๆ อยู่นี่แหละ เวลาที่มันหยุดอยู่หรือดับอยู่นั้นยังมีมากกว่าที่เวลามันเดือดพล่านขึ้นมา เดือดพล่านมาเมื่อใดเป็นวัฏสงสารเมื่อนั้น เย็นอยู่ ดับอยู่ตามเดิมเมื่อใดก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น”

ด้วยความสนใจด้านเพลงและดนตรีของพุทธทาสภิกขุ ซึ่งกล่าวย้อนวัยไปเมื่อครั้งยังเด็กว่า
“ผมนี้ชอบดนตรี ชอบเพลง อย่างเรียกว่าสุดเหวี่ยงเลย แต่โยมห้ามไม่ให้เอาเครื่องดนตรีขึ้นไปบนเรือนผมจึงไม่ค่อยได้หัด มีบ้านที่เขาหัด เราก็ลองไปดูไปหัด ผมชอบง่ายๆ ชอบขลุ่ย ชอบออร์แกนที่โยกด้วยมือ มันง่าย… ผมเคยหัดร้องเพลงและสะสมเพลงไว้เยอะๆ สมัยเมื่อมีเทปแล้ว (บวชแล้ว) ก็เอามาศึกษาว่า เพลง ๑ ชั้น ๒ ชั้น ๓ ชั้นนั้น มันเป็นอย่างไร มันทำให้งอกข้างใน ยาวออกไป เท่าตัวบ้าง ๒ เท่าตัวบ้าง ๓ เท่าตัวบ้างอย่างไร” (เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ. พิมพ์ครั้งที่ ๔. มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๕๕ หน้า ๒๖)
ความสนใจเรื่องเพลงนี้ทำให้พุทธทาสภิกขุรวบรวมศึกษาเพลงพื้นบ้านต่างๆ จนค้นพบเพลงกล่อมลูกที่ชาวบ้านแถบภาคใต้ใช้ร้องกล่อมเด็ก เพลงกล่อมเด็กหลายๆ บท ชวนให้ร่วมตีความค้นหาความหมายอยู่ไม่น้อย จากบทเพลงนำมาสู่การสร้างเป็นเกาะมะพร้าวนาฬิเกร์ในสวนโมกขพลารามที่ผู้พบเห็นก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมต้องเป็นมะพร้าวนาฬิเกร์ จะเป็นต้นไม้อื่นด้วยได้ไหม ที่จริงไม่ได้มีแค่ต้นมะพร้าวเท่านั้น ยังมีต้นมะม่วงหิมพานต์ ส้มซ่า ทองพันชั่ง ต้นไม้เหล่านี้คงจะเป็นพืชพื้นถิ่นที่คนโบราณคุ้นเคย นำมาประกอบเป็นเพลงก็ดูไม่ขัดเขินเห็นภาพตามได้ และน่าแปลกใจว่าทำไมคนโบราณถึงแต่งเพลงที่ซ่อนความหมายลึกซึ้งไว้ อะไรกล่อมเกลาให้เป็นเช่นนั้น
ในสมุดบันทึกส่วนตัวของพุทธทาสภิกขุเขียนถึงเพลงกล่อมลูกโลกุตระไว้ว่า “ชาวมงโกเลียน มีบทเพลงกลางบ้าน (Folk song) ที่มีใจความลึกเปนโลกุตรธรรม อยู่บ่อยๆ, ในที่สุดได้พบว่า บ้านเราก็มีเหมือนกัน เช่น บทกล่อมลูกของคนรอบอ่าวบ้านดอนเรา นี้ว่า
“พร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ไปถึงแต่ผู้มีบุญ เฮอะ__” /ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลด เฮอะ.สมัยโน้น นั้นเขา เข้าถึงโลกุตรธรรม หรือสนใจในโลกุตรธรรมกันเพียงไร จึงมีบัณฑิต แต่งบทกล่อมลูก ให้หญิงชาวบ้าน ร้องได้เช่นนี้, สภาพแท้จริง ของพุทธบริษัท ตามพื้นบ้านสมัยนั้น มันอยู่ในสภาพเช่นไรหนอมันเคยเจริญสูงสุดแล้วกลับเสื่อม, หรือว่า มันว่าเพ้อๆ กันไปอย่างนั้นเอง ; แต่มันจะเปนไปได้อย่างไรมะม่วงหิมพานต์ สุกงอมหอมหวาน อยู่กลางแม่น้ำทะเลหลวงพ้นลิงพ้นค่าง พ้นสัตว์ทั้งปวง อยู่กลางแม่น้ำทะเลหลวง พ้นเฆ่ เหรา เอย.”บันทึกนึกได้เอง 2495 (1952)
เป็นที่น่าสนใจศึกษาสภาพชีวิตคนโบราณที่แม้กระทั่งบทกล่อมลูกยังสะท้อนถึงอุดมคติในพุทธศาสนา ทำให้ธรรมะกับชีวิตประจำวันเดินไปด้วยกันได้ แม้เราจะเติบโตพ้นวัยเด็ก ตราบใดที่ยังถูกกิเลสฉุดรั้งไปซ้ายทีขวาทีก็ยังเป็นเยาวชนในภาษาธรรมอยู่นั่นเอง ใช้เพลงกล่อมลูกมากล่อมเกลาจิตวิญญาณมีธรรมะนั้นเป็นแม่คอยเลี้ยงดูให้ก้าวไปในธรรมให้พ้นลิงพ้นค่าง พ้นสัตว์ทั้งปวง อยู่กลางแม่น้ำทะเลหลวง พ้นเฆ่ เหรา เอย




