ถ้ากลัวตายก็น่าอายลูกแมว
กลอนบทหนึ่งของท่านพุทธทาสภิกขุที่ขึ้นต้นว่า
“๏ เกิดแล้ว กลัวตาย; น่าอาย ลูกแมว…”
เป็นคำที่ทั้งเรียบง่ายและเสียดสีอย่างลึกซึ้ง มันไม่ใช่เพียงกลอนเล่นคำ หากแต่เป็นเหมือนค้อนที่ทุบลงไปในใจเราอย่างแรง บอกกับเราว่า มนุษย์ผู้เกิดมาในฐานะ “สัตว์ประเสริฐ” ที่มีปัญญา มีศาสนาสอน มีครูอาจารย์ให้เรียนรู้ กลับใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งกังวลก็ยิ่งสั่นไหว ในขณะที่ลูกแมวตัวน้อย ๆ ที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีศาสนา ไม่ได้มีเหตุผลซับซ้อนใด ๆ กลับใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติอย่างสงบ นี่เป็นความย้อนแย้งที่ท่านพุทธทาสชี้ให้เราเห็น
มนุษย์ส่วนใหญ่กลัวความตายเพราะเรายึดถือ “ตัวกู ของกู” แน่นหนา เมื่อคิดถึงความตาย เราเห็นว่ามันคือการสิ้นสุดของ “ฉัน” และ “สิ่งที่ฉันรัก” ความผูกพันกับร่างกาย ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง และความสัมพันธ์กลายเป็นโซ่ตรวนที่รัดแน่น เมื่อมองไม่ทะลุความจริงว่า ความตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวงจรธรรมชาติ ความกลัวจึงผุดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด เรามัวแต่ปลุกความกลัวให้มากขึ้นทุกครั้งที่คิดถึงความตาย จนความกลัวนั้นกลายเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์
ตรงนี้เองที่กลอนของท่านพุทธทาสเปรียบกับ “ลูกแมว” ได้อย่างเฉียบคม ลูกแมวไม่คิดเรื่องอนาคต ไม่กังวลว่ามันจะอยู่หรือตายเมื่อไร มันใช้ชีวิตตรงหน้าอย่างซื่อ ๆ ไม่กักเก็บความกลัวไว้ในใจ ไม่สร้างเรื่องราวเกินจริงขึ้นมาให้ตัวเองทุกข์ มันเพียงแค่กิน นอน วิ่งเล่น ใช้ชีวิตไปตามธรรมชาติ ความสงบเรียบง่ายเช่นนั้นเองที่ทำให้สัตว์เล็ก ๆ กลายเป็น “อาจารย์” ที่สอนมนุษย์ได้โดยไม่รู้ตัว
ท่านพุทธทาสเคยอธิบายว่า การเลี้ยงไก่ หมา แมว ปลา หรือสัตว์อื่น ๆ ไม่ใช่เพราะความเพลิดเพลิน หากแต่เลี้ยงไว้เป็นอาจารย์ให้เรียนรู้ทุกวัน หากเห็นมันโง่ ก็สอนให้เรารู้ว่าเราไม่ควรโง่เช่นนั้น หากเห็นมันฉลาด เช่น รู้จักอดทน รู้จักพึ่งพากัน มันก็กำลังสอนเราให้เรียนรู้ความฉลาดในส่วนนั้นด้วย นั่นหมายความว่า ธรรมะไม่ได้อยู่แค่ในคัมภีร์หรือบนธรรมาสน์ หากแต่อยู่ในชีวิตประจำวัน อยู่ในสัตว์รอบตัว อยู่ในสิ่งที่เราเผชิญอยู่ทุกวัน เพียงแต่เรามักไม่เห็น
กลอนที่ว่า “เรื่องชนะความตาย ไม่เคย นึกคิด” จึงเสียดสีตรง ๆ ว่า แม้เราจะเรียกตนเองว่าเป็นชาวพุทธ แต่กลับไม่รู้เลยว่าพุทธศาสนามีทางให้เราพ้นความกลัวตาย ไม่ใช่ด้วยการหนีหรือปฏิเสธ หากแต่ด้วยการเรียนรู้ที่จะ “รู้เท่าทัน” ความจริงของความตาย แล้วอยู่กับมันอย่างไม่หวั่นไหว นั่นคือการเจริญมรณสติที่แท้จริง การระลึกถึงความตายมิใช่เพื่อปลุกความกลัว แต่เพื่อให้เกิดความไม่ประมาท ให้เราตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในแต่ละวัน
เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักใช้ความตายเป็นครู ความตายก็กลายเป็นผีที่เราหวาดผวา แต่หากเราเรียนรู้ให้ถูกต้อง ความตายกลับกลายเป็นเพื่อน เป็นเครื่องเตือนใจให้เราปล่อยวางความยึดติด และกลับมาอยู่กับความจริงตรงหน้าอย่างสงบ
กลอนสั้น ๆ ที่เปรียบเทียบกับลูกแมวจึงเป็นคำสอนอันแหลมคมว่า ความสงบเย็นไม่ใช่สิ่งไกลตัว มันอยู่ตรงที่เราหยุดปรุงแต่ง หยุดยึดถือ และอยู่กับธรรมชาติอย่างที่มันเป็นจริง ๆ หากเราเรียนรู้จากลูกแมว เราอาจพบว่าความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไป แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเกิดขึ้นและดับไปตามธรรมดา
๏ เกิดแล้ว กลัวตาย; น่าอาย ลูกแมว
ลูกตา แจ็วแหวว มีแวว ศุขสันติ์
ไม่มัว คิดเขลา อย่างเรา ประหวั่น
ทั้งคืน ทั้งวัน คิดประกัน ความตาย
๏ ยิ่งคิด ยิ่งทุกข์ ยิ่งปลุก ความกลัว
เพิ่มทุกข์ แก่ตัว ระส่ำ ระสาย
ยิ่งแก่ ยิ่งคิด ชวนมิตร ชวนสหาย
ช่วยกัน สาธยาย เรื่องตาย ไว้กลัว
๏ เรื่องชนะ ความตาย ไม่เคย นึกคิด
ไม่รู้ สักนิด นึกแล้ว น่าหัว
เป็นพุทธ บริษัท กอดรัด ตนตัว
จิตใจ ระรัว กลัวตาย, อายลูกแมว !
สรุปข้อคิด
กลอนของท่านพุทธทาสที่เปรียบมนุษย์กับลูกแมว ไม่ได้เป็นเพียงการเสียดสีให้เจ็บใจ แต่เป็นการเตือนสติให้เรากลับมามองตรง ๆ ว่า สิ่งที่เรากลัวที่สุดอย่าง “ความตาย” นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ศัตรูของเรา ความตายคือครูผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยเตือนให้เราใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีค่า
หากเรารู้จักพิจารณาอย่างถูกต้อง ความตายจะไม่ใช่เงามืดที่ไล่ล่า แต่จะกลายเป็นเพื่อนที่บอกเราว่า “เวลาของเธอมีจำกัด ใช้มันให้ดีที่สุด” ความสงบที่แท้จึงไม่ได้เกิดจากการหนีความตาย แต่เกิดจากการอยู่กับมันอย่างรู้เท่าทัน บางครั้งเราอาจต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เล็กน้อยที่สุด — ลูกแมวที่นั่งนิ่ง สัตว์เลี้ยงที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย — สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาจารย์คอยสอนว่า ชีวิตไม่จำเป็นต้องวุ่นวาย ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในความกลัวทุกขณะ หากปล่อยวางได้บ้าง เราก็จะสัมผัสความสงบเย็นที่แท้จริง
สุดท้ายนี้ หากเราจะอายลูกแมว ก็ควรอายที่มันรู้จักอยู่กับปัจจุบันได้ดีกว่าเรา และใช้ความละอายนี้เป็นแรงผลักให้เราเรียนรู้ที่จะสงบเย็น ไม่หวั่นไหวต่อความตายอีกต่อไป





