พุทธทาสภิกขุในความทรงจำของ ส.ศิวรักษ์
แดดยามบ่ายของวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ไม่ร้อนเร่าเท่าใจของผู้รับผิดชอบเก็บข้อมูล โครงการประวัติศาสตร์บอกเล่าบุคคลที่เคยสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการของมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ เมื่อทราบว่าชายที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าคือ ‘ปัญญาชนสยาม’ นาม สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักคิด นักเขียน ที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทยอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาของความสัมพันธ์กับพุทธทาสภิกขุ จึงละเลยไม่ได้ที่จะขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิหลังของปราชญ์ที่มีงานเขียน งานวิพากษ์ เกี่ยวกับพุทธศาสนาในสังคมไทยมากที่สุดคนหนึ่ง
จากเด็กเกลียดโรงเรียน สู่ความสนใจในพุทธศาสนา
“ผมเป็นคนเกลียดโรงเรียน ครูมันดุเหลือเกิน เฆี่ยนบ้างอะไรบ้าง ผมไม่ชอบเลย พ่อผมถามจะไปอยู่ศรีราชาไหม ผมเป็นลูกพ่อผมไม่ไป ผมไม่อยากเรียน พ่อก็บอกว่างั้นก็ดีแล้ว เรียนโรงเรียนฝรั่งมาเยอะแล้ว รู้เรื่องศาสนาคริสต์พอสมควรแล้ว บวชเณรไหมล่ะ จะได้รู้ฝ่ายพุทธบ้าง เลยตกลงไปบวชเณร บวชที่วัดทองนพคุณ แหม เหมือนกระดี่ได้น้ำเลย ไปบวชเณรแล้วผมมีความสุขมาก พ่อบอกให้บวช ๒ เดือน ผมบวช ๑๘ เดือนเลย จะไม่สึกเอาด้วย สึกออกมาไม่เท่าไหร่ พ่อผมก็ตาย ถ้าช้าไปนิดเดียวคงไม่ได้สึก” สุลักษณ์ เล่าถึงความหลังเมื่อครั้งได้บวชเรียน และบอกต่อถึงสาเหตุที่ไม่อยากสึกซึ่งเป็นข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับการจัดการศึกษาในสังคมร่วมสมัย
“มันสบายคุณ อยู่โรงเรียนมันตีสารพัด มันดุ มันเอ็ด ไปบวชเณรนี่ ห่มผ้าเหลืองใครๆ ก็ยกมือไหว้เป็นแถวเลย พระท่านแก่กว่าเราท่านก็เรียกตัวท่านเองว่าผมนะ โรงเรียนพวกครูไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลย ที่นั่น โห ออกไปบิณฑบาตคนยกมือท่วมหัว เรารู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที แล้วที่วัดเป็นโอกาส อาจารย์ผมท่านเป็นโหรมีชื่อ มีผู้ลากมากดี เจ้าใหญ่นายโตมาหา เปิดโอกาสให้รู้จักคนทุกชนชั้น เพราะก่อนบวชเรารู้จักคนชนชั้นเดียว คือชนชั้นกลางของเราเท่านั้นเอง ไปบวชรู้จักหมด คนชั้นล่าง ชั้นต่ำ ชั้นสูง ออกบิณฑบาตเข้าไปในสวนในอะไร มีความสุขมาก ไม่อยากสึกหรอก พ่อผมก็เอาใจนะ แต่บอกว่า เนี่ยนะ บวชเณรมีความสุขก็ดีแล้ว แต่พอเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้วอยากมีเมีย อยากมีครอบครัวจะทำยังไง บวชเรียนอยู่ตามโลกเขาไม่ทันให้สึกมาเถอะ ผมก็เลยยอมสึกมา” ปัญญาชนสยามให้ข้อมูลคร่าวๆ ที่พอจะฉายภาพให้เห็นถึงต้นทางแห่งความสนใจในพุทธศาสนา
ครั้งแรกกับชื่อ ‘พุทธทาส’
แม้ใครหลายคนที่เคยติดตามเรื่องราวของพุทธทาสภิกขุผ่านการปาฐกถา เสวนา หรือจนกระทั่งในงานเขียนของ ส.ศิวรักษ์ จะรับรู้ได้ถึงความเคารพที่ปัญญาชนสยามผู้นี้มีต่อพุทธทาสภิกขุ แต่หากย้อนกลับไปในความทรงจำเมื่อแรกรู้จัก ชื่อเสียงของพุทธทาสภิกขุในคราวนั้นก็ดูจะห่างไกลจากความทรงจำในปัจจุบันอยู่มากโข “คุณต้องเข้าใจนะว่าผมเติบโตมาในแวดวงศาสนาพุทธแบบโบราณ อาจารย์ผมท่านเป็นโหรด้วย เราไม่เห็นเรื่องโหราศาสตร์เป็นเรื่องเสียหายอะไร อาจารย์พุทธทาสท่านโจมตีโหราศาสตร์ ท่านโจมตีกินหมาก อาจารย์ผมตรงข้ามเลย เพราะฉะนั้นผมก็ไม่นับถืออาจารย์พุทธทาสหรอก ผมเป็นคนหัวโบราณ แล้วตอนนั้นท่านมาเทศน์ พระพุทธรูปเป็นภูเขาขวางกั้นพุทธธรรม (ปาฐกถาของ พุทธทาสภิกขุ เรื่องภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม ณ พุทธสมาคมกรุงเทพ ๕ มิ.ย. ๒๔๙๐) ตอนนั้นผมเป็นเด็ก โอ้โห เป็นเรื่องใหญ่โตเลย ท่านถูกโจมตีมากเลย คนสำคัญที่โจมตีท่านชื่อ พระทิพย์ปริญญา หรือหลวงทิพย์ปริญญา เป็นผู้พิพากษา ผมก็เข้าข้างหลวงทิพย์ปริญญาเลย” ส.ศิวรักษ์ ย้อนความหลังเกี่ยวกับความทรงจำเมื่อแรกคราวได้ยินชื่อเสียงของพุทธทาสภิกขุ
‘ตามรอยพระอรหันต์’ พระบ้านนอกกับสังคมศาสตร์ปริทัศน์
จากความรู้สึกไม่ชอบใจในความคิดอันแหวกแนวจากขนบ แต่แล้วการแลกเปลี่ยนทางปัญญาผ่านตัวอักษรก็ได้นำพาสองผู้นำทางความคิดร่วมยุคสมัยให้โคจรมาพบกัน “ผมมาสนใจอาจารย์พุทธทาส ตอนผมกลับจากอังกฤษมาแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีงานทำ น้องชายผมเป็นทหารเรือเขาเพิ่งจบ เป็นเรือตรี อยู่สัตหีบ เขาชวนให้ผมไปเที่ยว ตอนนั้นผมรับจ้างแปลหนังสือ เลยไปแปลหนังสือที่นั่น บ้านเขามีหนังสืออาจารย์พุทธทาสอยู่ ไปอ่าน ‘ตามรอยพระอรหันต์’ นั่นแหละเป็นหนังสือสำคัญที่ผมเริ่มหันมาสนใจอาจารย์พุทธทาส พระองค์นี้มีกึ๋น เขียนดีมากเลยตอนนั้นผมออกสังคมศาสตร์ปริทัศน์ เป็นหนังสือแหวกแนวมาก ๒๕๐๕-๒๕๐๖…”
ส.ศิวรักษ์ เล่าต่อไปว่า “ที่นี้ มีพระวัดมหาธาตุรูปหนึ่ง มหาบุญเลิศ ทัตตสุทธิ[1] ทีหลังไปเป็นหัวหน้าพระธรรมทูตที่อินเดีย ท่านจะไปเป็นพระธรรมทูต ท่านเลยอยากไปหาอาจารย์พุทธทาส อยากให้อาจารย์พุทธทาสแนะนำ ผมก็เลยไปด้วย ก็ไปเจอท่านครั้งแรกเลยที่สวนโมกข์ ผมก็ตกใจเลยนะ ท่านอ่านสังคมศาสตร์ปริทัศน์ซึ่งเพิ่งออกมา พระบ้านนอกอ่านนะ แล้วก็ชมใหญ่ ผมเลยถือโอกาสสัมภาษณ์ท่านมาลงสังคมศาสตร์ปริทัศน์ เป็นครั้งแรกที่รู้จักกัน ทีหลังก็ติดต่อกันเรื่อยมา มาทีหลังผมลงไปอีกท่านก็ชวนไปเที่ยวล่องเรือเที่ยวกับท่านเลย สนุกมากไปเที่ยวกับท่าน แล้วเห็นในศีลาจารวัตรท่าน เรียบร้อย งดงามมาก แม้ท่านจะบอกว่า พระพุทธรูปเป็นภูเขากั้นพุทธธรรม แต่เวลาเจอะพระพุทธรูปท่านลงกราบพระพุทธรูปงดงาม พระผู้ใหญ่ตามบ้านนอกท่านกราบหมดเลยนะ ท่านน่ารัก ผมเห็นอาจาร (อา-จา-ระ- ความประพฤติ) ท่าน ตอนอยู่ด้วยกัน ลงเรือเที่ยวด้วยกันตอนนั้นมีความสุขมาก ผมเลยประทับใจ ตั้งแต่นั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา” ปัญญาชนสยาม ให้ข้อมูล
พุทธทาสในฐานะ Radical Conservatism
ที่ผ่านมาแม้จะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยกย่อง ‘พุทธทาส’ แต่ก็เป็นไปในลักษณะปัจเจกบุคคลที่มีความเก่งกล้าสามารถในการชำระสิ่งปลอมปนออกจากพุทธศาสนา แต่ความน่าสนใจเกี่ยวกับประเด็น Radical Conservatism ที่ ส.ศิวรักษ์ ใช้กล่าวถึงความโดดเด่นของ ‘พุทธทาส’ นั้นอยู่ที่การสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นปัจเจกที่ไม่ได้ล่องลอยออกไปจากบริบททางสังคมร่วมสมัย แต่ก็สามารถต่อสู้ต่อรอง (negotiation) จนข้ามพ้นจากการครอบงำได้ในระดับหนึ่ง ดังที่ ส.ศิวรักษ์ อธิบายว่า “ท่านพุทธทาสท่านเป็นคนที่มีความคิดแหวกแนว ท่านอยู่ในขนบเดิม ขณะเดียวกันท่านก็ท้าทายขนบเดิม เพราะฉะนั้นตอนท่านอายุ ๘๔ ผมยังพิมพ์หนังสือรวมบทความต่างๆ แบบฝรั่งเขา ถวายท่าน ผมให้ชื่อว่า Radical Conservatism (Radical Conservatism: Buddhism in the Contemporary World: Articles in Honour of Bhikkhu Buddhadasa’s 84th Birthday Anniversary) ท่านพอใจมากเลย คือการนับถือศาสนานี่มันต้อง Conservative ต้องรักษาพื้นภูมิธรรมเดิมไว้ไม่ปรับแต่ง แต่ศาสนานี่ไปๆ มันก็ลงร่อง มันก็กลายเป็นไสยศาสตร์เป็นอะไรไป เพราะฉะนั้นคุณต้อง Radical ต้องกล้าท้าทายระบบเดิม แต่ทิ้งพื้นฐานเดิมไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาจารย์พุทธทาสผมถือว่าเป็น Radical Conservatism ท่านรักษาระบบเดิม แต่ท่านท้าทายระบบเดิม พร้อมๆ กัน แต่ไม่ทิ้งระบบเดิม ผมว่าท่านเป็นอัจฉริยะในเรื่องนี้ ไม่มีใครสู้ท่านได้ในเรื่องนี้”
โลกของกัลยาณมิตรทางปัญญา
ขณะที่ในโลกสามัญมนุษย์ต่างมีความสุขกับถ้อยคำเยินยอของสหายรอบข้าง แต่สำหรับในโลกทางปัญญาความหมายของ ‘กัลยาณมิตร’ กลับแตกต่างไป ดังความสัมพันธ์ระหว่างสุลักษณ์กับพุทธทาสภิกขุ “ท่านเมตตาผมมาก มีคนมารายงานว่าเวลาผมไป ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษ เวลาคุยกับผม มีคนมาหาท่าน ท่านให้ไปดูโรงมหรสพทางวิญญาณ ไปดูนู่น แต่กับผมท่านคุยตลอด ท่านมีความสุขตอนคุยกับผม เพราะผมกล้าขัดคอท่าน เถียงกับท่าน ท่านเป็นคนกว้างขวางและลึกซึ้งมาก”
“เถียงกับท่าน ท่านดีมากนะ พระผู้ใหญ่ให้คนเถียงได้ไม่ค่อยมี แต่ก่อน เจิมศักดิ์ (เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง) ทำรายการโทรทัศน์ ต้องเอาผมไปด้วย เขาบอกพูดภาษาพระไม่รู้เรื่อง เอาผมไป ไปออกโทรทัศน์คนตกใจมาก โบกไม้โบกมือข้ามหัวท่าน ท่านไม่ถือสาอะไรเลย ท่านมีการเขียนว่า จิตว่างของท่าน ถ้าจิตว่างแล้วทำอะไรไม่มีผิด จับอาวุธปืนยิงก็ไม่ผิด ผมบอกไม่มีทาง ผิดอยู่วันยังค่ำ เถียงกันมากเลย สันติกโร เข้าข้างผมในเรื่องนี้” สุลักษณ์ ยกตัวอย่างการถกเถียงในเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกับพุทธทาสภิกขุ แต่ก็รักษาความเป็นกัลยาณมิตรกันเรื่อยมา
ขณะเดียวกันปัญญาชนสยามยังชี้ให้เห็นจุดอ่อนบางประการที่อาจนำมาสู่ข่าวคราวความขัดแย้งในการบริหารจัดการสวนโมกข์ไชยา ในช่วงหลังการมรณภาพของพุทธทาสภิกขุ ซึ่งไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ในฐานะกัลยาณมิตรข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ควรรับฟัง “จุดอ่อนท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านไม่ได้ตั้งคณะสงฆ์ให้เข้มแข็ง ท่านตีธรรมะแตกฉานไม่มีใครสู้ แต่ท่านไม่อุทิศตัวเพื่อสร้างคณะสงฆ์เลย เพราะฉะนั้นเป็นหัวใจเลย พระพุทธเจ้าท่านตั้งคณะสงฆ์เป็นใหญ่ แม้เมื่อมีพระชนม์อยู่ท่านถือว่าสงฆ์เป็นใหญ่กว่าท่าน เรื่องนี้อาจารย์ชา (พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)) ดีมาก อาจารย์ชาท่านสามารถสร้างคณะสงฆ์ให้เป็นใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นเวลานี้สายอาจารย์ชาปฏิบัติพระธรรมวินัยเข้มแข็งมาก นี่เป็นจุดอ่อนของอาจารย์พุทธทาส เพราะว่าท่าน เก่งคนเดียว ดีคนเดียว”
พร้อมกันนี้ สุลักษณ์ ยังได้แนะนำเกี่ยวกับการนำหลักกัลยาณมิตรมาใช้ในการป้องกันกับดักความกลัวและการปรับปรุงตนเองของบุคคลและองค์กรไว้อย่างน่าสนใจว่า “ต้องกลับมาหาพุทธพจน์เลยนะ พระพุทธเจ้าท่านตัดสอนว่า กัลยาณมิตรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด กัลยาณมิตรคือพูดสิ่งที่เราไม่อยากฟัง อาจารย์พุทธทาสท่านถือผมเป็นกัลยาณมิตรเลยนะ คนไทยนี่ขาดกัลยาณมิตร…ตรงที่เขาติก็ต้องถือคำติของเขาจริงๆ จังๆ รู้จักแก้ไขปรับปรุง ถึงจะเป็นการนำหลักกัลยาณมิตรมาใช้ได้ถูกต้อง เพื่อเจริญโยนิโสมนสิการ แก้ไขปัญหาของเรา ลงไปหยั่งรากลึก แก้จิตสำนึกต่ำที่สุดออกมาได้…
“ต้องอย่ากลัว ต้องมีความกล้าเป็นพื้นฐาน อาจจะผิดก็ได้ ผิดแล้วก็แก้ แต่ต้องกล้า ถ้าหมดความกล้ามนุษย์ก็มีภยาคติ (ความลำเอียงเพราะความขลาดกลัว) ครอบงำ ความกลัวเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ถ้าเอาชนะความกลัวได้ อภัย (อะ-ภะ-ยะ) แปลว่าไม่กลัว พระพุทธเจ้าตรัส แม้มัจจุราชก็มองไม่เห็น ต้องมีความกล้าเป็นพื้นฐาน แต่ความกล้านี้ไม่ใช่ความกล้าบ้าบิ่น กล้าดีเดือด กล้าอย่างกล้าหาญทางศีลธรรมซึ่งอาจารย์พุทธทาสแสดงความกล้ามาตลอด” ส.ศิวรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย
บทสนทนาระหว่างคนแปลกหน้ากับปัญญาชนสยามจบลงในห้วงยามที่แสงแดดยังคงแผดร้อนอย่างซื่อสัตย์ต่อการทำหน้าที่ ความทรงจำเกี่ยวกับพุทธทาสภิกขุได้ถูกเก็บบันทึกไว้อย่างซื่อสัตย์ต่อความเป็นกัลยาณมิตรที่ควรจะขัดอกขัดใจกันได้บ้างเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มพับเก็บเอาความรุ่มร้อนและความตื่นเต้นเข้ากระเป๋าสัมภาระพร้อมๆ กับเครื่องมือบันทึกภาพและเสียง ก่อนกล่าวคำขอบคุณปัญญาชนสยามและร่ำลาต่อทีมงาน เพื่อเดินทางแยกย้ายไปสู่ที่ใดสักแห่ง ด้วยหวังว่าเขาจะมีโอกาสได้พบกับ ‘กัลยาณมิตร’ ที่เฝ้ารออยู่ตรงจุดหมายปลายทาง เช่นเดียวกับที่ครั้งหนึ่งสองปราชญ์ทั้งทางธรรมและทางโลกได้โคจรไปพบกัน
[1] พระสุเมธาธิบดี (บุญเลิศ ทตฺตสุทฺธิ) อดีตอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร

