สร้างระบบธรรมาภิบาลวัดอย่างไร? เปิด 'หลักปฏิบัติ 9 ข้อ' สู่ความโปร่งใส
เมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2568 มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล ร่วมกับ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) และ กองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย ได้เปิดวงเสวนา ในหัวข้อ “ระบบธรรมาภิบาลวัด : จะสร้างได้อย่างไร ?”ไป ณ ห้องนิพพานชิมลอง ชั้น ๒ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)
โดยมีผู้ร่วมเสวนา
- ดร. บัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
- คุณวิเชียร พงศธร ประธานกรรมการ มูลนิธิเพื่อคนไทยและประธานกรรมการมูลนิธิยุวพัฒน์
- นพ. บัญชา พงษ์พานิช กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ)
- รศ.ดร. ณดา จันทร์สม ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ผู้ดำเนินวงเสวนา รศ.ดร. สิริลักษณา คอมันตร์
รองประธานกรรมการ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
โดยมีสาระสำคัญ คือ การตั้งคำถามว่า “ระบบธรรมาภิบาลวัด : จะสร้างได้อย่างไร?” การเสวนานี้ซึ่งจัดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตศรัทธาที่เกิดจากกรณีการยักยอกเงินวัดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่าสุดคือกรณีวัดไร่ขิง
ปัญหาหลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ ช่องโหว่เชิงโครงสร้างและกฎหมาย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ให้อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าอาวาส ควบคู่ไปกับปัญหาการบริหารการเงินที่ขาดมาตรฐานทางบัญชีสากล ขาดการตรวจสอบจากภายนอก และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส แม้จะมีความพยายามออกกฎระเบียบต่างๆ แต่ยังขาดกลไกการติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปัญหาธรรมาภิบาลยังคงมีอยู่
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้มีการเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรม โดยมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาลได้ริเริ่มโครงการ “การบริหารวัดในพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล” ซึ่งได้พัฒนา “หลักปฏิบัติที่ดี 9 ข้อ” ขึ้นมา เพื่อเป็นกรอบการทำงานให้วัดสามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยเน้นหลักการสำคัญคือ การตัดสินใจเป็นหมู่คณะผ่านคณะกรรมการวัด, การสร้างระบบบัญชีที่โปร่งใสและตรวจสอบได้, และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน ปัจจุบันมีวัดนำร่อง 16 แห่งเข้าร่วมโครงการ โดยมีเครือข่ายจิตอาสาจากภาคประชาสังคมและผู้เชี่ยวชาญคอยให้การสนับสนุน
บทสรุปจากเวทีเสวนาชี้ว่า การสร้างระบบธรรมาภิบาลในวัดเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งความตั้งใจของวัดเองในการวางระบบเพื่อลดภาระของเจ้าอาวาส การสนับสนุนจากภาครัฐโดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการเป็นหน่วยงานกลางด้านข้อมูล และที่สำคัญที่สุดคือ พลังของภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจที่จะเข้ามายื่นมือช่วยเหลือในด้านองค์ความรู้ กำลังคน และการสร้างกลไกการตรวจสอบที่เข้มแข็ง เพื่อฟื้นฟูศรัทธาและสร้างความยั่งยืนให้แก่สถาบันศาสนาต่อไ
วิกฤตศรัทธาและจุดเริ่มต้นของทางออก
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยได้เผชิญกับข่าวคราวอื้อฉาวเกี่ยวกับการยักยอกเงินบริจาคและทรัพย์สินของวัดอย่างต่อเนื่อง หลายกรณีกลายเป็นคดีความใหญ่โตที่สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นและบั่นทอนจิตใจของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เหตุการณ์เหล่านี้ได้จุดประกายคำถามสำคัญว่า เราจะสามารถสร้างระบบการบริหารจัดการวัดที่มีธรรมาภิบาล เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นซ้ำซากได้อย่างไร
เพื่อร่วมกันค้นหาคำตอบที่เป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล, มูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) และกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย ได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ระบบธรรมาภิบาลวัด : จะสร้างได้อย่างไร?” ขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ปฏิบัติงานจากหลากหลายภาคส่วน นำไปสู่การวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้งและเสนอแนวทางแก้ไขที่จับต้องได้
การฉายภาพปัญหา: ช่องโหว่เชิงโครงสร้างและกฎหมาย
รศ.ดร.ณดา จันทร์สม ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ได้ฉายภาพปัญหาจากการศึกษาวิจัยเรื่อง “การบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย” มากว่า 10 ปี พบว่าปัญหาธรรมาภิบาลในวัดมีรากฐานมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างและกฎหมายเป็นสำคัญ
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 วัดมีสถานะเป็นนิติบุคคล โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการดูแลจัดการทุกสิ่งทุกอย่างภายในวัด โครงสร้างดังกล่าวเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่บุคคลเดียว ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่ต้องมีการตรวจสอบและถ่วงดุล
เมื่อเจาะลึกไปที่การบริหารการเงิน แม้กฎหมายจะกำหนดให้วัดต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย แต่ในทางปฏิบัติกลับพบปัญหามากมาย ในอดีตแต่ละวัดทำบัญชีตามความสมัครใจ ไม่ได้มีมาตรฐานกลาง และเมื่อจัดทำแล้วก็มักจะเก็บไว้ที่วัด ไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ ต่อมาในปี 2558 มหาเถรสมาคมได้มีคำสั่งให้ทุกวัดต้องนำส่งบัญชีให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แต่ก็ยังพบว่ารูปแบบบัญชีที่จัดทำไม่ได้เป็นไปตามหลักการบัญชีสากล และไม่มีการกำหนดระเบียบการเบิกจ่ายที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถติดตามเส้นทางการเงินได้อย่างโปร่งใส
แม้ในปี 2564 จะมีการออกกฎกระทรวงฉบับใหม่ที่กำหนดแนวปฏิบัติที่รัดกุมขึ้น เช่น การเบิกจ่ายเงินต้องมีผู้ลงนามมากกว่าหนึ่งคน หรือการจำกัดการถือเงินสดของวัดไม่ให้เกิน 100,000 บาท แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ “จะใช้กลไกใดในการกำกับดูแลให้ทุกวัดปฏิบัติตาม?”
รศ.ดร.สิริลักษณา คอมันตร์ รองประธานกรรมการ มูลนิธินโยบายสาธารณะฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ที่สำคัญว่า แม้จะมีการพัฒนากฎระเบียบและมีคู่มือบัญชีวัดนำร่องตั้งแต่ปี 2561 แต่กลับไม่มีการติดตามและประเมินผลอย่างจริงจัง ทำให้การบังคับใช้ไม่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลชี้ว่าจากวัดทั่วประเทศกว่า 40,000 แห่ง มีวัดที่จัดทำและส่งบัญชีเพียงหลักพันแห่งเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาธรรมาภิบาลที่ยังคงอยู่ ทั้งในมิติของอำนาจการตัดสินใจ, ความโปร่งใสในการทำบัญชี, การตรวจสอบ และการขาดการมีส่วนร่วมของสังคม
บทบาทของภาครัฐและโอกาสในการสร้างความโปร่งใส
ดร.ณดา ได้เสนอว่าหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหานี้คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งควรทบทวนบทบาทของตนเองให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกลางที่ได้รับข้อมูลรายงานทางการเงินจากวัดกว่า 20,000 แห่ง พศ. มีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางข้อมูล (Data Center) เพื่อสร้างความโปร่งใสได้ แต่ปัจจุบันข้อมูลเหล่านั้นยังไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
ข้อเสนอคือ พศ. ควรพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ตั้งแต่กระบวนการนำเข้าข้อมูล การใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบความผิดปกติเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างระบบ “ข้อมูลเปิด” (Open Data) ที่ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบได้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างความโปร่งใส แต่ยังเป็นการดึงภาคประชาสังคมให้เข้ามามีบทบาทในการเป็นหูเป็นตา ช่วยสอดส่องดูแลศาสนสมบัติซึ่งเป็นของส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวทางปฏิบัติสู่ธรรมาภิบาล: โครงการนำร่องและ 9 หลักปฏิบัติที่ดี
เพื่อเปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นทางออกที่ปฏิบัติได้จริง ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการ มูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล ได้เล่าถึงโครงการ “การบริหารวัดในพุทธศาสนาตามหลักธรรมาภิบาล” ซึ่งนำแนวคิดการบริหารจัดการที่ดีของภาคธุรกิจมาปรับใช้กับบริบทของวัด โดยยึดหลัก 6 ประการที่สำคัญ ได้แก่ 1) พระธรรมวินัย 2) พ.ร.บ.สงฆ์ 3) การตัดสินใจเป็นหมู่คณะ 4) ความโปร่งใส 5) การทำงานอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน และ 6) การตรวจสอบจากภายนอก
จากหลักการดังกล่าว ได้ถูกแปลงออกมาเป็น “หลักปฏิบัติที่ดี 9 ข้อ” เพื่อให้วัดสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางระบบธรรมาภิบาลได้โดยง่าย ซึ่งประกอบด้วย:
- บริหารโดยคณะกรรมการ: ให้วัดบริหารโดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยเจ้าอาวาส (เป็นประธาน), พระสงฆ์ในวัด และฆราวาสที่ได้รับการคัดเลือก โดยมีคำสั่งแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร
- กำหนดคุณสมบัติและวาระ: มีการกำหนดคุณสมบัติและวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการฆราวาสและไวยาวัจกรอย่างชัดเจน และมีการประเมินผลการทำงาน
- พัฒนาความรู้: เจ้าอาวาส พระสงฆ์ และกรรมการ ควรได้รับการพัฒนาความรู้ด้านการบริหาร, พระธรรมวินัย, กฎหมาย และธรรมาภิบาลอย่างต่อเนื่อง
- นโยบายที่เป็นลายลักษณ์อักษร: วัดควรกำหนดนโยบายและระเบียบที่สำคัญต่างๆ เป็นลายลักษณ์อักษรและประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
- ระบบการเงินและบัญชีมาตรฐาน: มีระบบการเงิน, บัญชี, ควบคุมภายใน, บริหารศาสนสมบัติ และบริหารความเสี่ยงที่เป็นมาตรฐาน มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถดูแล
- การตรวจสอบภายในและภายนอก: แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในที่มีความเป็นอิสระ และผู้สอบบัญชีจากภายนอก เพื่อทบทวนและยืนยันความถูกต้องของรายงานทางการเงิน
- การรายงานตามมาตรฐาน: จัดทำรายงานต่างๆ ตามระเบียบและมาตรฐานที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนด
- ระบบการเปิดเผยข้อมูล: มีระบบเปิดเผยข้อมูลทั้งด้านการเงิน (เช่น รายงานฐานะการเงินรายไตรมาส/รายปี) และไม่ใช่การเงิน (เช่น นโยบาย, ระเบียบ) อย่างเป็นกิจลักษณะ
- คณะกรรมการยึดหลักธรรมาภิบาล: คณะกรรมการต้องประชุมอย่างสม่ำเสมอ มีวาระชัดเจน มีการจดบันทึก และกรรมการทุกคนต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดประโยชน์ของวัดเป็นที่ตั้ง
ปัจจุบัน โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการกับวัดนำร่อง 16 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในแง่ขนาดและประเภท (วัดราษฎร์, วัดหลวง, วัดในเมือง, วัดป่า) เพื่อพิสูจน์ว่าหลักปฏิบัติเหล่านี้สามารถใช้ได้กับวัดทุกประเภท โดยความสำเร็จของโครงการไม่ได้อยู่ที่การบรรยายให้ความรู้ แต่เป็นการทำงานร่วมกับวัดอย่างใกล้ชิดผ่าน เครือข่ายจิตอาสา ราว 50 คนจากทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย, ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี และอดีตพนักงานองค์กรชั้นนำ ที่เข้ามาช่วยเป็นพี่เลี้ยงและให้คำแนะนำแก่วัด
ข้อค้นพบและปัจจัยสู่ความสำเร็จ
จากประสบการณ์ 18 เดือนในโครงการนำร่อง ดร.บัณฑิต ได้สรุปข้อคิดที่สำคัญ 3 ประการ คือ:
- ธรรมาภิบาลในวัดเป็นสิ่งที่ทำได้จริง: วัดส่วนใหญ่มีความต้องการที่จะมีระบบงานที่ดี เพื่อลดภาระของเจ้าอาวาสและเปิดโอกาสให้ท่านได้ทุ่มเทกับกิจของสงฆ์อย่างเต็มที่ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีเพื่อสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจจากทุกฝ่าย
- ระบบบัญชีคือ ‘Pain Point’ ที่ต้องการความช่วยเหลือ: ทุกวัดอยากมีระบบการเงินและบัญชีที่ดี แต่ขาดองค์ความรู้และบุคลากร ภาคประชาสังคมจึงสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือได้
- ภาคประชาสังคมต้องช่วยอุดช่องว่างของระบบราชการ: การกำกับดูแลแบบราชการที่เน้นการสั่งการและรายงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากวัดอาจไม่มีศักยภาพพอที่จะปฏิบัติตามได้ทั้งหมด ภาคประชาชนจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยสนับสนุน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
เสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ
นพ.บัญชา พงษ์พานิช จากสวนโมกข์กรุงเทพ ย้ำว่าสิ่งที่วัดต้องการมากกว่าเงินในขณะนี้ คือ “คนที่พระท่านไว้ใจ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ อันได้แก่ กลุ่มบุคคล 3 ประเภท คือ 1) คนที่พระไว้วางใจ 2) ชุมชนรอบวัด และ 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการ
ขณะที่ นายวิเชียร พงศธร ในฐานะตัวแทนภาคธุรกิจและผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนรวมธรรมาภิบาลไทย มองว่าปัญหาธรรมาภิบาลวัดเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในภาพใหญ่ของสังคมไทย ซึ่งลุกลามมาถึงสถาบันศาสนา ภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมจึงต้องร่วมมือกันเป็นองคาพยพขนาดใหญ่เพื่อเข้าไปช่วยเหลือ โดยเชื่อว่ากลไก “อาสาสมัคร” ที่โครงการกำลังทำอยู่ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยยกระดับการบริหารจัดการวัดให้ดีขึ้นได้
บทสรุป: อนาคตของระบบธรรมาภิบาลวัด
จากเวทีเสวนาครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่าหนทางสู่การสร้างระบบธรรมาภิบาลวัดนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเป้าหมายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกองคาพยพของสังคม ไม่สามารถปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในระดับบน คือการทบทวนและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และระดับล่าง คือการที่วัดแต่ละแห่งลุกขึ้นมาสร้างระบบการบริหารจัดการที่ดีจากภายใน โดยมีภาคประชาสังคมเป็นกองหนุนที่สำคัญ การเดินทางครั้งนี้อาจต้องใช้เวลา แต่ทุกย่างก้าวที่เดินไปบนเส้นทางแห่งธรรมาภิบาล คือย่างก้าวที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูศรัทธาและสร้างความมั่นคงยั่งยืนให้แก่พระพุทธศาสนาในสังคมไทยได้อย่างแท้จริง