ธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสภิกขุที่แสดงแก่นักศึกษาในปีพุทธศักราช 2528 ได้วิเคราะห์ถึงสภาวะการณ์อันย้อนแย้งของศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความจำเป็นสูงสุดต่อมนุษยชาติ แต่กลับเป็นสิ่งที่สังคมให้ความสำคัญน้อยที่สุด ประหนึ่งว่าศีลธรรมนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร สาเหตุหลักเกิดจากการที่ผู้คนในสังคมมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนมากจนเกินไป อันเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาและความทุกข์นานัปการในสังคมโลก ท่านพุทธทาสได้ให้นิยามของศีลธรรมไว้อย่างลึกซึ้งว่าคือ “สิ่งที่ทำความปกติ” ให้บังเกิดขึ้น เป็นรากฐานสำคัญของความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในสังคม ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
- ประโยชน์บังเกิดแก่ผู้ปฏิบัติเป็นลำดับแรก: คุณูปการของการประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของศีลธรรมนั้น จะส่งผลดีต่อตัวผู้ปฏิบัติเองเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะขยายผลไปยังบุคคลอื่นและสังคมในวงกว้าง
- ศาสตร์ที่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในทางทุจริต: ท่านชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะพิเศษของวิชาศีลธรรม ที่แตกต่างจากศาสตร์แขนงอื่นซึ่งอาจถูกนำไปใช้เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบได้ แต่ศีลธรรมนั้นยิ่งนำไปปฏิบัติมากเท่าใด ก็จะยิ่งนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ความซื่อตรงสุจริตมากขึ้นเท่านั้น
- การชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาสังคม: ท่านได้วิเคราะห์ว่าปัญหาวิกฤตของโลกในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือการปกครอง ล้วนมีรากฐานมาจากปัญหาเดียวกัน คือ “การขาดศีลธรรม”
- พลังของปัจเจกบุคคลในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก: ท่านได้ให้กำลังใจว่า แม้ผู้ที่ลุกขึ้นมาส่งเสริมคุณธรรมจะเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย แต่ก็มีพลังศักยภาพที่จะเอาชนะความไม่ถูกต้องที่มีมากกว่าได้ และเป็นดั่ง “ชนวน” สำคัญที่สามารถจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
โดยสรุป โอวาทธรรมนี้เป็นการกระตุ้นเตือนและปลุกจิตสำนึกของปัญญาชน ให้ตระหนักถึงคุณค่าของศีลธรรมและภารกิจในการเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อนำพาสังคมไปสู่ความสงบสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
บทปริทัศน์ขยายความธรรมบรรยาย “จริยธรรมกับบัณฑิต”: การวิเคราะห์มรดกความคิดพุทธทาสเพื่อการฟื้นฟูสังคม
ในวาระการปิดการประชุมอบรมนักศึกษาจาก 14 สถาบันอุดมศึกษา ในปีพุทธศักราช 2528 ท่านพุทธทาสภิกขุได้แสดงโอวาทธรรม ซึ่งมิได้เป็นเพียงการกล่าวสุนทรพจน์ตามแบบแผนพิธีการ หากแต่เป็นการวิเคราะห์วิกฤตการณ์ของยุคสมัยอย่างลึกซึ้ง ธรรมบรรยายในครั้งนั้นได้กลายเป็นมรดกทางความคิดที่สำคัญซึ่งยังคงมีความร่วมสมัยและเชื้อเชิญให้เกิดการขบคิดถึงแก่นแท้ของปัญหาสังคมมาจนถึงปัจจุบัน บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ให้เห็นว่า ธรรมบรรยายของท่านพุทธทาสมิได้เป็นเพียงโอวาททางจริยธรรม แต่เป็นการนำเสนอ ‘ทฤษฎีวิพากษ์สังคม’ ที่ชี้ให้เห็นว่าการละเลยศีลธรรมคือรากเหง้าของวิกฤตการณ์ร่วมสมัย และเสนอว่าการฟื้นฟูสังคมจำเป็นต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติในระดับปัจเจกบุคคล
ภาคที่หนึ่ง: สภาวะอยุติธรรมของศีลธรรม – เมื่อสิ่งจำเป็นสูงสุดถูกให้ความสำคัญน้อยที่สุด
ท่านพุทธทาสภิกขุเริ่มต้นโอวาทด้วยการแสดงความอนุโมทนาต่อคณะนักศึกษาที่ได้อุทิศเวลาเพื่อการศึกษาและส่งเสริมศีลธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ได้สะท้อนสัจธรรมอันน่าขมขื่นของสังคมโลกว่า หากเปรียบศีลธรรมเป็นดังบุคคล ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่ได้รับ “ความไม่เป็นธรรม หรืออยุติธรรมอย่างยิ่ง” คำกล่าวนี้นำมาซึ่งคำถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือ เพราะศีลธรรมเป็นสิ่งที่มี “ประโยชน์และจำเป็นสูงสุด” ต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์และสังคม แต่กลับเป็นสิ่งที่ “คนในโลกให้ความสนใจน้อย เอาใจใส่น้อย ส่งเสริมน้อย” อย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อพิจารณาในบริบทของสังคมปัจจุบัน ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความจริงในข้อนี้ได้อย่างเด่นชัด เราอยู่ในยุคสมัยที่ความสำเร็จมักถูกประเมินค่าด้วยตัวชี้วัดเชิงปริมาณทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่งทางวัตถุ หรือสถานะทางสังคม กระแสสังคมผลักดันให้เกิดการแข่งขันเพื่อแสวงหา “ประโยชน์ส่วนตัว” จนกระทั่งทำให้ผู้คน “ไปสาละวนอยู่กับไอ้เรื่องประโยชน์จนเกินไป” และละเลยคุณค่าของศีลธรรมไปในที่สุด การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนนั้นมิใช่สิ่งผิดโดยตัวมันเอง แต่เมื่อการกระทำดังกล่าวปราศจากกรอบของคุณธรรมกำกับ ก็ย่อมนำไปสู่การเบียดเบียน การเอารัดเอาเปรียบ และการกระทำทุจริตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือสภาวะ “ไร้ศีลธรรม” ที่แทรกซึมไปในทุกมิติของสังคม ส่งผลให้โลกต้องเผชิญกับ “ปัญหา มีความทุกข์ทรมานอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่แล้ว” ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์โลกร้อนที่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่คำนึงถึงขีดจำกัดของระบบนิเวศ หรือการเชื่อมโยงกับแนวคิด ‘Anomie’ (สภาวะไร้บรรทัดฐาน) ของเอมิล เดอร์ไคม์ ซึ่งอธิบายถึงสภาวะที่บรรทัดฐานทางสังคมเสื่อมลงจนผู้คนรู้สึกแปลกแยกและมุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตน ท่านพุทธทาสมองว่าปรากฏการณ์เหล่านี้มิใช่ปัญหาที่แยกขาดจากกัน หากแต่เป็นอาการที่สะท้อนถึงโรคเดียวกัน นั่นคือ “โรคขาดศีลธรรม”
ดังนั้น การที่คณะนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้แสดงความใส่ใจและพยายามที่จะ “พิทักษ์รักษาไอ้ความมีศีลธรรมในโลก” จึงเป็นการกระทำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ท่านพิจารณาว่าการเกี่ยวข้องกับศีลธรรมในทุกมิติ ล้วนเป็นการสร้าง “บุญ เป็นกุศล” เพราะคือการเยียวยาแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและเป็นการสร้างสันติสุขให้แก่สังคมอย่างแท้จริง
หลังจากชี้ให้เห็นถึงปัญหาการละเลยศีลธรรมในภาคแรกแล้ว ท่านพุทธทาสจึงได้นำเสนอหัวใจของการแก้ปัญหา นั่นคือการกลับไปทำความเข้าใจนิยามที่แท้จริงของ ‘ศีลธรรม’ ในฐานะเครื่องมือสร้างความปกติสุข
ภาคที่สอง: นิยามแห่งศีลธรรม – การกลับคืนสู่ “ความปกติสุข”
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถ่องแท้ ท่านพุทธทาสได้ให้นิยามของคำว่า “ศีลธรรม” ไว้อย่างเรียบง่ายทว่าลึกซึ้งยิ่งนัก ท่านกล่าวว่า “คำว่า ศีลธรรม มันแปลว่าไอ้สิ่งที่ทำความปกติ หรือทำปกติภาวะให้มี ให้อยู่” ความปกติในนัยนี้ มิได้หมายถึงความซ้ำซากจำเจ หากแต่หมายถึงสภาวะที่ทุกสิ่งดำรงอยู่อย่างสมดุล กลมกลืน และไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เมื่อใดที่สังคม “ไม่มีศีลธรรม” ก็จะเข้าสู่สภาวะตรงกันข้าม คือ “ความวุ่นวาย” และเป็น “ความวุ่นวายชนิดที่เลวร้ายด้วย ไม่ใช่วุ่นวายอย่างสนุกสนาน”
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือลำดับของการได้รับประโยชน์จากศีลธรรม ท่านชี้ให้เห็นว่า “เพราะว่าใครประพฤติศีลธรรมผู้นั้นได้รับประโยชน์ก่อน ประโยชน์ที่จะแผ่ไปยังผู้อื่นนั้นยังมาทีหลัง” ความจริงข้อนี้มักถูกมองข้าม โดยคนส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าการมีศีลธรรมคือการเสียสละเพื่อผู้อื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ศีลธรรมคือการลงทุนเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของตนเอง บุคคลผู้ทุจริตย่อมมีจิตใจที่ร้อนรนและหวาดระแวง ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีเมตตา ย่อมมีจิตใจที่สงบเย็นและเป็นอิสระ ความสุขที่เกิดจากความปกติภายในนี้ คือคุณูปการเบื้องต้นที่ผู้มีศีลธรรมจะได้รับในทันที
จากนั้น ความสงบเย็นภายในจะแผ่ขยายคุณค่าออกไปสู่สังคมในวงกว้าง ดังอมตวาจาที่ท่านได้มอบไว้เป็นหลักใจว่า “ศีลธรรมไม่มีโลกนี้จะวินาศ ถ้าศีลธรรมกลับมาโลกนี้ก็จะสงบเย็น” เมื่อสังคมโดยรวมมีความสงบเย็น บุคคลทุกคนในสังคมย่อมได้รับประโยชน์ร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น ศีลธรรมยังส่งผลดีครอบคลุมไปถึงสรรพชีวิตและสิ่งแวดล้อม การเบียดเบียนทำลายล้างจะลดน้อยลง และโลกทั้งใบจะกลับคืนสู่สภาวะ “ปกติสุขกันไปหมด”
ภาคที่สาม: ศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ – เหตุใดวิชาศีลธรรมจึงไม่อาจนำไปใช้ในทางที่ผิดได้
ในส่วนนี้ ท่านพุทธทาสได้นำเสนอข้อสังเกตอันเฉียบคมที่แสดงให้เห็นถึงสถานะอันพิเศษของวิชาศีลธรรม โดยเปรียบเทียบกับศาสตร์ความรู้อื่นๆ ว่า “วิชาการอย่างอื่นนั้นเอาไปใช้อย่างอื่นได้” อาทิ ผู้มีความรู้ทางคณิตศาสตร์อาจนำความสามารถไปใช้ในการวางแผนทุจริต หรือผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารอาจใช้ทักษะของตนเพื่อบิดเบือนข้อมูลได้
แต่สำหรับวิชาศีลธรรม ท่านยืนยันอย่างหนักแน่นว่ามีคุณสมบัติที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง “แต่วิชาศีลธรรมมันทำไม่ได้ คือเอาไปใช้มันก็ยิ่งไม่คดโกง มันก็ยิ่งซื่อตรง ยิ่งสุจริต” เหตุผลเชิงตรรกะคือ การ “ใช้” วิชาศีลธรรม ก็คือการ “ปฏิบัติ” ตามหลักศีลธรรมนั่นเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะนำหลักแห่งความสุจริตไปใช้เพื่อการทุจริต หรือนำหลักแห่งความเมตตาไปใช้เพื่อการเบียดเบียน ธรรมชาติของวิชาศีลธรรมจึงเป็นการขัดเกลาและยกระดับจิตใจของผู้ศึกษาไปในตัว ด้วยเหตุนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่ามีความ “ศักดิ์สิทธิพิเศษอยู่ในตัวศีลธรรม” ที่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้ ณ ที่ใด ก็จะบังเกิด “ความปกติสุขที่นั่น”
ดังนั้น การได้มาเกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรมจึงเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง เพราะเป็นหนทางโดยตรงสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน ท่านย้ำว่า “ไม่มีสิ่งอื่นที่จะทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริงนอกจากความมีศีลธรรม” ความสุขที่เกิดจากปัจจัยภายนอกล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง แต่ความสุขที่เกิดจากจิตใจอันสงบและเปี่ยมด้วยคุณธรรมนั้น คือความสุขที่แท้จริง
ภาคที่สี่: การวินิจฉัยรากเหง้าแห่งวิกฤต – การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุของสังคม
ท่านพุทธทาสได้วิเคราะห์ถึงอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ศีลธรรมไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังว่าเป็นเพราะ “วงการที่มีอำนาจ ยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์อันนี้” และมักให้ความสำคัญกับ “เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง” ซึ่งท่านมองว่าเป็นเพียง “ผล” หรืออาการที่ปลายเหตุของปัญหาเท่านั้น แต่กลับละเลยที่จะจัดการกับ “มูล” หรือต้นตอที่แท้จริงของปัญหาทั้งปวง
ท่านได้กล่าววินิจฉัยปัญหาสังคมอย่างถึงรากว่า “ปัญหาทุกชนิดที่เกิดอยู่กับรัฐบาลในโลกทุกโลก มันมีมูลมาจากความไม่มีศีลธรรม” เมื่อผู้คนในสังคมขาดศีลธรรม ปัญหาเศรษฐกิจย่อมเกิดขึ้น เมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองขาดศีลธรรม ปัญหาการทุจริตเชิงนโยบายย่อมตามมา ระบบการปกครองใดๆ ที่ดำเนินไปโดยปราศจากรากฐานทางศีลธรรม ก็จะกลายสภาพเป็นเพียงกลไกที่สร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด
ท่านได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น “การปกครองอย่างประชาธิปไตย ถ้าประชาชนไม่มีศีลธรรมมันทำไม่ได้” เนื่องจากประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต้องการพลเมืองที่มีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม หรือ “งานแบบสหกรณ์” ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของความไว้วางใจ ก็ย่อม “ทำไม่ได้ เพราะความไม่มีศีลธรรม มันพร้อมแต่จะคดโกงกันอยู่เสมอ”
แนวทางการแก้ปัญหาของโลกในปัจจุบันจึงเปรียบเสมือนการจัดการกับผลกระทบโดยไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ ท่านชี้ว่า “ถ้าศีลธรรมกลับมาเมื่อไร สิ่งเหล่านี้ก็จะเข้ารูปเข้ารอย” และสังคมจะกลับคืนสู่ความสงบสุขได้อย่างยั่งยืน
ภาคที่ห้า: พลังแห่งชนวน – ความหวังและกำลังใจสำหรับผู้ริเริ่ม
การตระหนักถึงขนาดของปัญหาอาจนำมาซึ่งความท้อแท้ ท่านพุทธทาสเข้าใจในสภาวะดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงได้ให้กำลังใจแก่กลุ่มนักศึกษาซึ่งเป็นเพียงคน “หยิบมือเดียว” ว่าอย่าได้สิ้นหวัง โดยได้มอบหลักธรรมอันเป็นอมตะเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไว้ว่า “คนดีแม้มีน้อยก็ชนะคนที่ไม่ดีมีจำนวนมากได้”
หลักการนี้ตั้งอยู่บนความจริงที่ว่า “ความดี” หรือ “ความถูกต้อง” นั้นมีพลังในตัวเอง เปรียบเสมือนแสงสว่างที่แม้มีเพียงน้อยนิดก็สามารถขจัดความมืดได้ฉันใด การกระทำความดีแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจและส่งต่อแรงกระเพื่อมเชิงบวกออกไปได้อย่างไม่สิ้นสุด มันจะ “เกิดอิทธิพล เกิดอภินิหาร เกิดอำนาจ ขึ้นมาในตัวมันเอง” และค่อยๆ แผ่ขยายออกไปจนครอบคลุมความไม่ถูกต้องได้ในที่สุด
ดังนั้น ผู้ที่ลุกขึ้นมาทำความดีในสังคมจึงเปรียบได้กับ “ผู้ตั้งต้น เป็นจุดตั้งต้น เป็นชนวนที่ตั้งต้น” ซึ่งนับเป็น “บุญกุศลอันเหลือหลาย” เพราะคือผู้ที่จุดประกายความหวังและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ท่านจึงขอ “อนุโมทนา” และขอให้ทุกคนมี “กำลังใจ มีกำลังความเชื่อ มีกำลังความเพียร มีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ของตน” ต่อไป
ส่งท้าย: บทสรุปและแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้
โอวาทธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุในหัวข้อ “จริยธรรมกับบัณฑิต” เป็นดั่งเข็มทิศที่ชี้แนวทางให้แก่ผู้ที่ปรารถนาจะสร้างสรรค์สังคมที่ดีงามและมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง จากธรรมบรรยายทั้งหมด สามารถสรุปเป็นแนวทางเพื่อการนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้:
- การพิจารณาและสังเกตการณ์ในชีวิตประจำวัน: จุดเริ่มต้นคือการฝึกฝนให้ “มองเห็น” คุณค่าของศีลธรรม โดยสังเกตความเชื่อมโยงระหว่างการกระทำที่ขาดศีลธรรมกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น และในทางกลับกัน ให้สังเกตว่าการกระทำที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมนำมาซึ่งความสงบสุขอย่างไร การพิจารณาเช่นนี้จะช่วยสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นในคุณค่าของความดี
- การนิยามความสุขบนพื้นฐานของความสงบภายใน: ควรเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการแสวงหาความสุขจากปัจจัยภายนอก มาสู่การแสวงหา “ความปกติสุข” จากภายในจิตใจ โดยหมั่นสำรวจว่าการกระทำ คำพูด และความคิดในแต่ละวัน กำลังสร้างความวุ่นวายหรือความสงบให้แก่จิตใจ
- ความกล้าหาญในการยืนหยัดกระทำความดี: ไม่ควรรอให้ผู้อื่นเป็นผู้ริเริ่ม หรือท้อแท้เพราะเป็นคนส่วนน้อย พึงตระหนักว่าทุกคนสามารถเป็น “ชนวนตั้งต้น” ของการเปลี่ยนแปลงได้ โดยเริ่มจากการกระทำเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ความซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน และการมีเมตตาต่อผู้อื่น
- การสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อการพัฒนาตนเอง: ควรปรับเปลี่ยนมุมมองต่องานขัดเกลาตนเองให้เป็นดังการเดินทางที่น่าสนใจและท้าทาย เมื่อเกิดความผิดพลาดก็เรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ เมื่อทำความดีสำเร็จก็ชื่นชมตนเอง เมื่อเราสามารถสร้างความปีติยินดีจากการพัฒนาตนเองได้ เราก็จะสามารถปฏิบัติตนในทางที่ถูกที่ควรได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
โดยสรุปแล้ว จะเห็นได้ว่ามรดกความคิดของพุทธทาสภิกขุในธรรมบรรยายครั้งนี้ มิได้จำกัดอยู่เพียงในมิติของคำสอนทางศาสนา แต่ยังทำหน้าที่เป็น ‘เครื่องมือวิเคราะห์สังคม’ ที่ทรงพลัง การวิเคราะห์สภาวะอยุติธรรมของศีลธรรม, การตีความ ‘ความปกติสุข’ ใหม่, และการให้ความสำคัญกับพลังของปัจเจกบุคคล ล้วนเป็นองค์ประกอบของทฤษฎีวิพากษ์ที่ยังคงร่วมสมัยและสามารถนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์และแสวงหาทางออกจากวิกฤตการณ์ต่างๆ ของโลกปัจจุบันได้อย่างลึกซึ้ง