ปรับตัวให้เข้ากับโลก…ก็เหนื่อย…แต่พอเป็นตัวเองก็เหนื่อย แล้วเราต้องเป็นอะไร?
Gemini_Generated_Image_ic68t2ic68t2ic68_cr

ปรับตัวให้เข้ากับโลก...ก็เหนื่อย…แต่พอเป็นตัวเองก็เหนื่อย แล้วเราต้องเป็นอะไร?

byภัทรดร ภิญโญพิชญ์

‘เป็นตัวเอง’ ก็เหนื่อย ‘ปรับตัว’ ก็เหนื่อย: ทางออกในมุมมองพุทธศาสนา

เรามักได้ยินคำบ่นทำนองว่า “เหนื่อยจัง ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลย” แต่ในขณะเดียวกัน บางครั้งพอเราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ มันก็ “เหนื่อย” ไม่ต่างกัน การที่เรา “เป็นตัวเอง” แล้วยังเหนื่อยอยู่นั้น ก็เพราะ “ตัวตน” ของเราไม่ได้ลอยอยู่เดี่ยวๆ ในโลกครับ การ “ตามใจตัวเอง” อย่างซื่อสัตย์มักจะสร้าง “แรงเสียดทาน” กับความคาดหวังของคนรอบข้างหรือกติกาของสังคมเสมอ เราจึงต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อต่อสู้ ปกป้อง หรืออธิบายจุดยืนของเรา นอกจากนี้ เมื่อเราเลือกทางของเราเอง 100% เราก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมดด้วยตัวเอง ซึ่งความกดดันนี้ก็เหนื่อยไม่แพ้กัน

นี่คือความจริงของการอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่มีใครสามารถตามใจตัวเองได้ 100% แต่มันคือธรรมชาติของการที่มนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน

แล้วพุทธศาสนามองเรื่องนี้อย่างไร มีหลักคิดอะไร ที่จะช่วยให้เราจะลดหรือกำจัดความเหนื่อยนี้?

1. ศิลปะแห่งความพอดี (มัชฌิมาปฏิปทา)

ในระดับพื้นฐานที่สุด พุทธศาสนาเสนอ “ทางสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฏิปทา” นี่ไม่ใช่การบอกให้เราทำตัวจืดชืดเป็นสีเทา แต่คือการสอนให้เรารู้จัก “ขอบเขต” ของตัวเอง และ “จังหวะ” ที่เหมาะสม

เราต้องเป็นตัวเอง…เพราะถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเลย เราจะไม่มีทางรู้ว่าเราต้องการอะไร และจะใช้ชีวิตแบบที่ไม่ใช่ของเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว การเป็นตัวเองไม่ใช่ความดื้อ แต่เป็น “เข็มทิศภายใน” ที่บอกว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่กับชีวิตเราแต่เข็มทิศนี้จะทำงานได้ดีจริง ๆ ก็ต่อเมื่อ…เรามองเห็นตัวเองอย่างตรงไปตรงมา (อ่านข้อ 2 และ 3) ถ้าตัวเรา พูดความจริงกับตัวเองไม่ได้ เราก็ไม่มีวันเลือกชีวิตที่เหมาะกับตัวเองได้ นี่คือเหตุผลที่ “การเป็นตัวเอง” เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เพราะโลกต้องเข้าใจเรา แต่เพราะเราต้องเข้าใจตัวเองก่อน

ในอีกมุมหนึ่งมนุษย์ไม่มีทางเป็นตัวเองได้ 100% เพราะเราไม่ได้อยู่ลำพังในสุญญากาศ เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้คนที่มีความต้องการและจังหวะชีวิตต่างจากเราเสมอ และโลกเองก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้หมุนตามใจใครคนเดียว ทุกสถานการณ์มีข้อจำกัด กติกา และความจริงที่เราเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเราเองก็เปลี่ยนตลอดเวลา วันนี้เราเชื่อแบบหนึ่ง พรุ่งนี้เราอาจคิดอีกแบบหนึ่ง ความเป็น “ตัวเรา” จึงไม่เคยคงที่สักวันเดียว การปรับตัวจึงไม่ใช่การทรยศตัวเอง แต่เป็นธรรมชาติของการอยู่ร่วมกับโลกและอยู่ร่วมกับตัวตนที่เปลี่ยนแปลงของเราเอง

ชีวิตจริงก็เหมือนการเดินบนพื้นต่างระดับ บางช่วงเรียบ บางช่วงขรุขระ เราแค่ต้องปรับการก้าวเดินให้เข้ากับพื้นผิว นี่คือทักษะพื้นฐานที่สุดที่จะพาเราพ้นจากความเหนื่อยล้า ทางสายกลางสอนเราว่า ทั้ง “การเป็นตัวเอง” และ “การปรับตัว” ล้วนมีที่ทางของมัน อยู่ที่เราเลือกใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา

2. เราเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ (ปฏิจจสมุปบาท)

เมื่อมองให้ลึกขึ้น เราจะพบว่า “ความเป็นตัวเอง” ที่เราหวงแหนและพยายามปกป้องนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดจากเครือข่ายของเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งหมด

  • เราคิดแบบนี้ เพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้
  • เรารู้สึกแบบนี้ เพราะประสบการณ์ในอดีตสร้างร่องรอยไว้
  • เราปรับตัวแบบนี้ เพราะคนรอบข้างมีอิทธิพลต่อเรา

นั่นคือ จริง ๆ แล้ว “ความเป็นเรา” ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งแวดล้อมแทบทั้งหมด แต่เราเผลอไปเชื่อว่าเราแยกขาดและมีตัวตนอิสระที่ไม่ต้องขยับตามโลก นี่คือความเข้าใจผิด! เพราะแม้แต่ความชอบและนิสัยที่เราคิดว่าเป็นของเราจริง ๆ ก็ล้วนถูกปั้นขึ้นมาจากเหตุการณ์และผู้คนมากมาย มันไม่ใช่ของเรา ที่ต้องปกป้อง หวงแหน แบบไม่ยอมใคร  การปรับตัวไปตามสังคมจึงไม่ใช่การฝืนธรรมชาติ แต่เป็นการกลับมาเคลื่อนไหวตามความจริงของชีวิต

3. ไม่มี “ตัวตนตายตัว” ให้ต้องกอดไว้ (อนัตตา)

ในระดับที่ลึกที่สุด พุทธศาสนาสอนว่า ไม่มี “ตัวตนแท้จริง 100%” ที่คงที่ถาวรให้เราต้องปกป้องไปตลอดชีวิต สิ่งที่เราเรียกว่า “ตัวเรา” เป็นเพียงกระแสของเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที ความคิดเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน นิสัยเปลี่ยน แม้แต่ความเชื่อที่เคยมั่นใจสุดชีวิตก็ยังเปลี่ยนได้ เมื่อเข้าใจสภาวะ “อนัตตา” หรือความไม่มีตัวตนที่ตายตัว เราจะเห็นว่า…

  • การพยายามเป็นตัวเอง 100% ตลอดเวลา จึงไม่จำเป็น
  • การปรับตัว ไม่ใช่การทรยศต่อตัวเอง หรือความพ่ายแพ้

เพราะมันไม่มี “ตัวตนดั้งเดิม” ให้ตั้งแต่แรก การปรับตัวจึงเป็นเพียงการที่เหตุปัจจัยหนึ่ง (ตัวเรา) กำลังทำปฏิกิริยากับเหตุปัจจัยอื่น (คนรอบข้าง) เท่านั้นเอง นี่คืออิสรภาพที่แท้จริง อิสรภาพที่ไม่ต้องดิ้นรนพิสูจน์ “ความเป็นตัวเอง” และไม่ต้องเหนื่อยล้าจากการพยายามยึดถืออะไรบางอย่างไว้แน่นเกินไป

บทสรุป

ความเหนื่อยล้าที่เราแบกรับ ไม่ว่าจะจากการ “ฝืนปรับตัว” หรือ “ฝืนเป็นตัวเอง” มักเกิดจากความพยายามที่จะยึดถือ “ตัวตนที่ตายตัว” เอาไว้ พุทธศาสนาจึงเสนอทางออกจากความเหนื่อยนี้ ไม่ใช่ด้วยการเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่ด้วยการ “ทำความเข้าใจ” กระบวนการทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การหาความสมดุลที่พอดีในการอยู่ร่วมกัน (ทางสายกลาง) ไปจนถึงการเห็นแจ้งว่าตัวเรานั้นเชื่อมโยงและเป็นผลมาจากเหตุปัจจัยนับไม่ถ้วน (ปฏิจจสมุปบาท) และท้ายที่สุด คือการปล่อยวางความเชื่อมั่นว่ามี “ตัวตนแท้จริง” ที่ต้องปกป้อง (อนัตตา)

อิสรภาพที่แท้จริงจึงไม่ใช่การได้เป็นตัวเองตามใจชอบ หรือการเข้ากับทุกคนได้ดี แต่คือการค้นพบ “ความเบา” ที่เกิดขึ้นเมื่อเราหยุดแบกรับตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง และอยู่กับโลกอย่างเท่าทันตามเหตุปัจจัย

Share