ประชาชนเป็นใหญ่ หรือ กิเลสเป็นใหญ่?
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว พุทธทาสภิกขุ ชวนสังคมมองปัญหาที่ซ่อนอยู่ในระบอบการปกครองและนำเสนอทางออกของปัญหา ในการอบรมพระนวกะราชภัฏ ปี 2518 ครั้งที่ 11 อ.พุทธทาสได้นำเสนอแนวคิดสำคัญๆในหัวข้อ ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา
1. ประชาธิปไตยในปัจจุบันกลายเป็นประชาธิปไตยของกิเลส
- เมื่อ “ประชาชนเป็นใหญ่” แต่ประชาชนส่วนมากเต็มไปด้วยกิเลส ความเห็นแก่ตัว และการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ประชาธิปไตยจึงกลายเป็น “ประชาธิปไตยแห่งความเห็นแก่ตัว”
- มีการรวมกลุ่มเป็น “พรรค” เพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกัน กลายเป็นสิ่งที่ท่านเรียกว่า “พรรคะประโยชนาธิปไตย” (การที่ผลประโยชน์ของพรรคเป็นใหญ่)
2. ธรรมะกับโลก ไม่ได้แยกจากกัน
- มีความเข้าใจผิดว่า “ธรรมะ” กับ “โลก” เป็นคนละฝ่าย แยกขาดจากกัน ทั้งที่ความจริงแล้ว ธรรมะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในโลก เพื่อประคับประคองไม่ให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ
3. ธรรมาธิปไตย คือ ทางรอด
- ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะต้องมีธรรมะประคองไว้ จึงควรเรียกว่า “ธรรมิกประชาธิปไตย”
- แก่นแท้คือ “ธรรมะเป็นใหญ่” ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่แบบไม่จำกัด
- ต้องเอาความถูกต้อง ความยุติธรรม ความดีงาม มาเป็นหลักในการปกครอง แทนการเอาความต้องการของแต่ละบุคคลเป็นตัวตั้ง
“ประชาธิปไตยมันเป็นเรื่องของคนโง่ไม่ได้
แต่เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องของ…กำลังเป็นเรื่องของคนโง่
คนเอาเปรียบคน ไม่มีธรรมะ
โดยถือเสียว่าโลกมันต้องแยกจากธรรมะ
ธรรมะนี้มันช่วยโลกอย่างจำเป็น
มันไม่ได้ขัดกับโลก มันไม่ได้ขวางโลก
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพายกันคนละที
หรือใช้กันคนละที หรือมีกันคนละที
ยิ่งเป็นโลกเท่าไรยิ่งเป็น “โลกจัด” เท่าไร
ก็ยิ่งจะต้องมีธรรมะ
เข้าไปประคับประคองมากเท่านั้น
มิฉะนั้นมันจะร้อนเป็นไฟเหลือที่จะทนได้
.
โลกแห่งยุคประชาธิปไตยที่ใครทำอะไรตามพอใจ
และก็เรียกร้องเลยขอบเขตมากขึ้นๆ
และก็มุทะลุดุดันยิ่งขึ้น
จนกลายเป็นฆ่าฟันกันอย่างไม่มีความหมาย
กลายเป็นเหมือนกับว่ายุคที่มีบาปอย่างยิ่ง
ถูกสาปอย่างยิ่ง
ถูกล่อลวงด้วยภูตผีปีศาจอะไรสักอย่างกระมัง
ที่มนุษย์บูชาประชาธิปไตยแบบไหนกันก็ไม่รู้
.
ประชาชนในโลกทั้งโลกเวลานี้
กำลังถือศาสนา “ได้”
เป็นธรรมะ เป็นพระเจ้า
ถือว่า “การได้ การมี” สิ่งที่สนองความอยากของตนนั้น
เป็นพระเจ้า เป็นศาสนา
ก็เต็มไปด้วยประชาชนแต่ละคนที่เห็นแก่ตัว
ที่รู้จักแต่ประโยชน์ของตัวหรือการได้เพื่อตัว
ถ้าว่ามันเป็นประชาธิปไตยแห่งการเห็นแก่ตัว
มันก็เป็นประชาธิปไตยแห่งการยื้อแย่ง ใช่หรือไม่ใช่
เดี๋ยวนี้เราก็เห็นกันอยู่แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่า
คนมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
เพราะความก้าวหน้าทางวัตถุ
ก็มาเป็นประชาชน ผู้มีสิทธิมีเสียง
ในการปกครองแผ่นดิน ปกครองโลก
เป็นสภาหรือเป็นอะไรขึ้นมา
สมาชิกคือผู้เห็นแก่ตัว ดังนี้
มันมีรัฐธรรมนูญของใครหรือว่ากฎหมายอันไหน
ที่มันสามารถป้องกันความเห็นแก่ตัว
รัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายก็ดี
มันไม่สามารถจะทำลายความเห็นแก่ตัวของคนได้
รัฐธรรมนูญเหล่านั้นมันก็ไม่สามารถที่จะป้องกัน
มิให้คนที่เห็นแก่ตัวนั้นเข้ามาเป็นสมาชิกของสภา
มันก็ห้ามกันไม่ได้ตลอดไป
ดังนั้น จึงมีสภาแห่งผู้เห็นแก่ตัว
โดยที่รัฐธรรมนูญมันป้องกันไม่ได้
หรือกฎหมายมันก็ป้องกันไม่ได้
มันก็เลยมีสภาแห่งผู้เห็นแก่ตัว
นี่คือประชาชนเป็นใหญ่อันแท้จริง สมชื่อ
เพราะกิเลสของประชาชนผู้มีความเห็นแก่ตัว
มารวมกันเป็นก้อนใหญ่และก็
บันดาลประเทศชาติหรือโลกให้มันเป็นไป
ที่มันปรากฏเห็นชัดๆ อยู่จนไม่ต้องสงสัย
มันเอาประโยชน์ของตัวเป็นเบื้องหน้า
เพราะฉะนั้นมันก็เป็น “ประโยชนาธิปไตย”
เดี๋ยวนี้มันทำคนเดียวไม่ได้
มันก็เป็นพรรคกันขึ้นมา
เช่นในรัฐสภามีหลายพรรค
ประโยชน์ของแต่ละพรรคมันเป็นใหญ่
ช่วยกันรักษาประโยชน์ของพรรค
เพื่อแจกกันเป็นประโยชน์ส่วนตัวกันต่อไปอีก
ดังนั้น โดยเนื้อแท้ที่มันกำลังเป็นอยู่ในโลกจริงๆ เวลานี้
มันเป็น “พรรคะประโยชนาธิปไตย”
พรรคะ คือ พรรค
ประโยชนา คือ ประโยชน์
ธิปไตย คือ เป็นใหญ่
ประโยชน์แห่งพรรคเป็นใหญ่
พรรคะประโยชนาธิปไตย
มีประโยชน์แห่งพรรคนั่นแหละเป็นใหญ่
หาใช่ประชาชนเป็นใหญ่ไม่
มันพูดกันแต่ปาก
ดังนั้น การที่เขาจะพูดว่ามนุษย์สมัยนี้
เหมาะอย่างยิ่งแล้วที่จะเป็นประชาธิปไตยนี้
มันเข้าใจยาก มันมองไม่เห็นว่ามนุษย์สมัยนี้
เหมาะแล้วที่จะเป็นประชาธิปไตย
ผมเห็นว่ายิ่งจะต้องเป็น “ธรรมาธิปไตย”
จะเอาความต้องการของมนุษย์สมัยนี้
แต่ละคนเป็นหลักไม่ได้
ไม่ได้แน่ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น
ธรรมาธิปไตย
ไม่เอาความต้องการของคนใดคนหนึ่งเป็นหลัก
แต่ว่าเอาความถูกต้อง ของธรรมะเป็นหลัก
ธรรมิกประชาธิปไตย – ประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรมะ
ถ้าจะให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ใช้ได้
ไม่มีอันตรายต้องเติมคำว่าธรรมิกเข้าไปข้างหน้า
กลายเป็นธรรมิกประชาธิปไตย
ถ้าอย่างนี้แล้วไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่แล้ว
ประชาชนหมดความเป็นใหญ่
เพราะไปมอบให้แก่ธรรมะเป็นใหญ่
จึงว่าประชาธิปไตยชนิดที่ธรรมะเป็นใหญ่
ลู่ทางที่จะรอดได้ มันมีอยู่อย่างนี้
ประชาธิปไตยของชาวบ้าน
จึงเป็นประชาธิปไตยของกิเลส คือ
ของคนที่มีความเห็นแก่ตัวรวมกันเป็นพรรค
เป็นพวกรักษาประโยชน์ของตน
หรือของพรรคของตน
เมื่อพูดถึงประชาธิปไตย
ตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา
มันก็ต้องระบุชัดลงไป ไม่มีตัวกู
ไม่มีของกูชนิดที่จะมายื้อแย่ง
สำหรับยึดถือ สำหรับยื้อแย่ง
เห็นความดี ความจริง
ความถูกต้อง ความยุติธรรม เป็นหลัก
ที่เรียกว่าธรรมาธิปไตย
ล้มบุคคลเสียหมด
เลิกล้มบุคคลให้หมด
เหลือแต่ตัวธรรมะ
ประชาธิปไตยเฉยๆ มันอันตรายที่สุด
คือ อาจจะเป็นประชาธิปไตยของ
คนบ้า คนบอ คนเห็นแก่ตัว
ที่มันเป็นอันตรายของมนุษย์นั่นเอง
ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพุทธศาสนา
คืออย่างนี้ คือมีธรรมะเป็นหลัก
เอาบุคคลหรือกิเลสของบุคคล
หรือประโยชน์ของบุคคลออกไปทิ้งเสีย
ขาดธรรมะแล้วโลกก็ไปไม่รอด
ช่วยเอาไปคิดให้มาก ๆ ว่า
ถ้าขาดธรรมะแล้วโลกนี้จะไปไม่รอด
โดยส่วนบุคคลก็ดี
โดยส่วนรวมเป็นสังคมใหญ่ก็ดี”
นับเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งว่า ธรรมะคือเรื่องของการปฏิบัติส่วนตัวของ “คนดี” คนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับระบบ ไม่เกี่ยวกับสังคม ไม่เกี่ยวกับการเมืองโดยความจริงแล้วธรรมะไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของคนดีบางคน แต่คือหลักที่ต้องมีอยู่ในใจของทั้งคนและระบบ เพราะเมื่อไม่มีธรรมะ โลกก็จะไม่รอด — ไม่ว่าระบอบไหนก็ตาม
ตามแนวคิดอย่าง ธรรมาธิปไตย หรือ ธรรมิกประชาธิปไตย ของพุทธทาส ชี้ว่าการที่บุคคลมีธรรมะ ลดตัวตน จะทำให้เกิดสังคมที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งธรรมะ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตา ความไม่เอาเปรียบและจะเป็นทางออกจากปัญหาที่หมักหมมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ