ทัศนะ – ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุ (พ.ศ. 2518)
ธรรมิกประชาธิปไตย ธรรมธิปไตย

ทัศนะ - ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุ (พ.ศ. 2518)

byภัทรดร ภิญโญพิชญ์

ภาพรวมหลัก:

การบรรยายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นว่า “ประชาธิปไตย” ในพระพุทธศาสนามีเจตนารมณ์ที่แท้จริงและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ในโลกปัจจุบัน โดยเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงที่แยกขาดไม่ได้ระหว่าง “โลก” และ “ธรรมะ” และการที่ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดและความสงบสุขของโลก ท่านพุทธทาสชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยในพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า “สังฆาธิปไตย” และ “ธรรมาธิปไตย” นั้น มุ่งเน้นการขจัดตัวตน ความเห็นแก่ตัว และกิเลส เพื่อให้เกิดสันติภาพและความสุขที่แท้จริง ซึ่งแตกต่างจากประชาธิปไตยของชาวโลกที่มักตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสและความเห็นแก่ตัว

ประเด็นหลักและแนวคิดสำคัญ:

1. ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา vs. ประชาธิปไตยของโลก:

  • ประสบการณ์จากการบวช: การบวชเป็นโอกาสให้ “ชิมลอง” หรือได้สัมผัสประสบการณ์หลายอย่าง รวมถึงประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบวินัยของคณะสงฆ์ “การมาบวชอยู่ในคณะสงฆ์ซึ่งมีระเบียบวินัยอย่างนี้ มันก็เป็นอยู่ มันก็เป็นการอยู่อย่างแบบประชาธิปไตยชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ทั้งโดยธรรมะและโดยวินัย”
  • ความเชื่อมโยงระหว่างโลกและธรรมะ: สิ่งสำคัญจากการบวชคือการตระหนักว่า “โลกกับธรรมนั้น…เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้” การจะเข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องรวมธรรมะเข้ามาด้วย ไม่ใช่แยกออกจากกัน
  • ประชาธิปไตยที่ไม่บริสุทธิ์ของชาวโลก: ท่านพุทธทาสวิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยที่ใช้กันทั่วไปว่ามักตกอยู่ภายใต้ “ประชาธิปไตยของคนโง่ คนเอาเปรียบคน” หรือ “ประชาธิปไตยแห่งความเห็นแก่ตัว” เพราะ “ประชาชนเป็นใหญ่” ในที่นี้มักหมายถึง “กิเลสของประชาชนแต่ละคนเป็นใหญ่” ทำให้เกิดการ “ยื้อแย่ง” และนำไปสู่ความวุ่นวายและวิกฤติการณ์ต่างๆ ดังที่เห็นในโลกปัจจุบัน “ในยุคที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ยังจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเสียกว่า…พอมายุคประชาธิปไตยนี้มันเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ ยิ่งหาสันติภาพไม่ได้ ยิ่งเป็นยุคที่มีบาปมากที่สุดในโลกนี้”
  • ศาสนาแห่ง “การได้”: ประชาชนในโลกปัจจุบันจำนวนมาก “กำลังถือศาสนาได้เป็นธรรมะ เป็นพระเจ้า ถือการได้ การมีสิ่งที่สนองความอยากของตนนั้น เป็นพระเจ้า เป็นศาสนา” ซึ่งเป็นรากฐานของความเห็นแก่ตัวและปัญหาต่างๆ
  • “พรรคะประโยชนาธิปไตย”: ประชาธิปไตยของโลกในปัจจุบันคือ “พรรคะประโยชนาธิปไตย” คือ “ประโยชน์แห่งพรรคเป็นใหญ่” ไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชนโดยรวม ซึ่งห่างไกลจากหลักพุทธศาสนามาก

2. ธรรมาธิปไตยและสังฆาธิปไตย: ประชาธิปไตยที่แท้จริง:

  • “ธรรมะเป็นใหญ่” (ธรรมาธิปไตย): นี่คือหัวใจของประชาธิปไตยแบบพุทธศาสนา “ไม่เอาความต้องการของคนใดคนหนึ่งเป็นหลัก แต่ว่าเอาความถูกต้องของธรรมะเป็นหลัก” หากธรรมะเป็นใหญ่ คนจะไม่มีทางเห็นแก่ตัว เพราะธรรมะไม่ยอมให้เห็นแก่ตัว
  • “สังฆาธิปไตย”: คือ “สงฆ์เป็นใหญ่” แต่ไม่ได้หมายถึงบุคคลสงฆ์เป็นใหญ่โดยลำพัง แต่หมายถึง “สงฆ์ที่มีธรรมวินัยเป็นหลัก” ซึ่งมีการกลั่นกรองสมาชิก (พระภิกษุ) ให้เป็นผู้ที่ประกอบด้วยธรรมะ และใช้มติเอกฉันท์ (ร้อยทั้งร้อย) ในการตัดสินใจ ต่างจากระบบการโหวตแบบเสียงข้างมากของชาวโลก “ในหมู่สงฆ์นี่การโหวตนั้นต้องเป็นร้อยทั้งร้อย เป็นเอกฉันท์” การขจัดผู้ที่ประพฤติผิดวินัยออกจากการประชุม (ผู้ว่ายาก) ทำให้เสียงของสงฆ์เป็นเอกฉันท์ได้
  • “ธรรมิกประชาธิปไตย”: ท่านพุทธทาสเสนอให้ใช้คำนี้ “ถ้าจะให้ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ใช้ได้ ไม่มีอันตรายต้องเติมคำว่าธรรมิกเข้าไปข้างหน้า กลายเป็นธรรมิกประชาธิปไตย” คือ “ประชาชนหมดความเป็นใหญ่ เพราะไปมอบให้แก่ธรรมะเป็นใหญ่”
  • ความสำคัญของธรรมะต่อการปกครอง: ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตย สังคมนิยม หรือแม้แต่เผด็จการ “ถ้ามันขึ้นอยู่กับธรรมะ” ก็สามารถเป็นธรรมาธิปไตยได้ เพราะผู้ปกครองเหล่านั้นยึดธรรมะเป็นหลัก ไม่ใช่เอาประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องเป็นใหญ่

3. การดับ “ตัวกู-ของกู” และนิพพาน:

  • ความสำคัญของการลด “ตัวกู-ของกู”: ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องการมนุษย์ที่ “รู้จักความสงบ แล้วก็เกลียดความไม่สงบ เกลียดความมีตัวกูของกู” เพราะความรู้สึก “ตัวกูของกูนี้เป็นความร้อน เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่มีความเย็นหรือนิพพานในที่นั้น”
  • ความเย็นคือนิพพาน: “ที่ใดปราศจากตัวกูของกูที่นั่นก็เย็นเป็นนิพพาน” นิพพานไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นความเย็นที่เกิดขึ้นเมื่อกิเลสและตัวตนดับไป แม้ในชั่วขณะหนึ่ง

4. วินัยและธรรมชาติ:

  • วินัยคือธรรมะ: วินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นนั้น “ไม่พ้นไปจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือของธรรมะของพระธรรม” วินัยเป็นส่วนหนึ่งของธรรมะ มีเจตนารมณ์ของธรรมะอยู่ในทุกข้อ
  • ประชาธิปไตยในธรรมชาติ: ท่านพุทธทาสชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติเองก็มีความเป็นประชาธิปไตยคือ “ความเสมอสม่ำเสมอกันของธรรมชาติ” และกฎของธรรมชาติ (เช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรืออิทัปปัจจยตา) ใช้กับทุกชีวิตอย่างเสมอหน้ากัน “ประชาธิปไตยตามกฎของธรรมชาติควรจะเป็นรากฐานของประชาธิปไตยทุกชนิดเลย” การบัญญัติสิ่งใดๆ ก็ตาม หากฝืนกฎธรรมชาติย่อมนำมาซึ่งปัญหา

ข้อคิดและข้อเสนอแนะ:

  • ท่านพุทธทาสเน้นย้ำว่าโลกจะไปไม่รอดหากปราศจากธรรมะ ไม่ว่าจะโดยส่วนบุคคลหรือสังคมโดยรวม
  • การที่มนุษย์สมัยนี้เห็นแก่ตัวมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเหมาะสมกับประชาธิปไตยแบบโลก แต่ยิ่งจำเป็นต้องมี “ธรรมาธิปไตย”
  • ประชาธิปไตยที่ปราศจากธรรมะเป็น “อันตรายที่สุด” เพราะอาจกลายเป็น “ประชาธิปไตยของคนบ้า คนบอ คนเห็นแก่ตัว”

สรุป:

การบรรยายนี้เป็นการท้าทายความคิดเรื่องประชาธิปไตยแบบโลก และนำเสนอแนวคิด “ประชาธิปไตย” ในมิติทางพุทธศาสนา ซึ่งมีธรรมะเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขจัด “ตัวกู-ของกู” และความเห็นแก่ตัว เพื่อนำไปสู่ความสงบเย็นที่แท้จริง (นิพพาน) ท่านพุทธทาสมองว่าหลักการของพุทธศาสนาโดยเฉพาะ “ธรรมาธิปไตย” และ “สังฆาธิปไตย” นั้นเป็นแนวทางที่บริสุทธิ์และใช้ได้จริงมากกว่าประชาธิปไตยที่ยึดติดกับกิเลสของบุคคลและพรรคพวก ซึ่งกำลังนำโลกไปสู่ความวุ่นวายในปัจจุบัน

อ่านทั้งหมดได้ที่นี่

Share