"การศึกษาหมาหางด้วน" ในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ (wiki)
บทนำ
ในท่ามกลางวิกฤตการณ์ของโลกสมัยใหม่ที่เผชิญกับความขัดแย้ง ความเสื่อมทรามทางศีลธรรม และความทุกข์ของปัจเจกบุคคลที่เพิ่มสูงขึ้น พุทธทาสภิกขุ (พ.ศ. 2449-2536) หนึ่งในนักคิดและนักปฏิรูปทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดของไทย ได้เสนอคำอธิบายที่แหลมคมและทรงพลังต่อรากเหง้าของปัญหาเหล่านั้นผ่านมโนทัศน์ที่เรียกว่า “การศึกษาหมาหางด้วน” [1][2][3] มโนทัศน์นี้ไม่เพียงแต่เป็นคำวิพากษ์ที่รุนแรงต่อระบบการศึกษาทั่วโลก แต่ยังเป็นการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปอย่างถึงแก่นเพื่อสร้าง “ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” ขึ้นมาใหม่
บทความนี้ได้สำรวจและวิเคราะห์แนวคิด “การศึกษาหมาหางด้วน” อย่างรอบด้าน โดยประมวลเนื้อหาจากบทธรรมเทศนา 10 เรื่องของพุทธทาสภิกขุ เพื่อทำความเข้าใจถึงความหมาย, ที่มา, ผลกระทบ, และแนวทางการแก้ไขที่ท่านได้เสนอไว้ ซึ่งยังคงมีความร่วมสมัยและท้าทายการศึกษาในปัจจุบันอย่างยิ่ง
พุทธทาสภิกขุใช้มโนทัศน์ “การศึกษาหมาหางด้วน” เพื่อวิพากษ์วิจารณ์กระบวนทัศน์ทางการศึกษาที่มุ่งเน้นเพียงความรู้ทางสติปัญญาและทักษะทางอาชีพ โดยละเลย “ธรรมะ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ การขาดหายไปขององค์ประกอบที่สามนี้ทำให้บัณฑิตที่ผลิตออกมาแม้จะมีความเฉลียวฉลาดและเก่งกาจในการทำมาหากิน แต่กลับกลายเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัว สร้างปัญหาให้กับสังคม และไม่พบสันติสุขที่แท้จริงในชีวิต
บทวิเคราะห์นี้จะชี้ให้เห็นว่าหัวใจของมโนทัศน์ ‘การศึกษาหมาหางด้วน’ ในธรรมเทศนาของพุทธทาสภิกขุนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงการวิพากษ์ระบบการศึกษา แต่เป็นการนำเสนอ ‘ธรรมะ’ ในฐานะองค์ประกอบที่สามที่ขาดไม่ได้ ซึ่งท่านได้ปรับเปลี่ยนการเน้นย้ำรายละเอียดตามบริบทของกลุ่มผู้ฟังที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ครู นักศึกษา จนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อเสนอทางรอดที่แท้จริงแก่มนุษย์และสังคม
ความหมายและที่มาของ “การศึกษาหมาหางด้วน”
นิยามและองค์ประกอบที่ขาดหาย
หัวใจหลักของมโนทัศน์ “การศึกษาหมาหางด้วน” คือการชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของระบบการศึกษาในยุคปัจจุบัน [4] พุทธทาสภิกขุได้จำแนกการศึกษาที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่:
- พุทธิศึกษา (การเรียนหนังสือ): การให้ความรู้ทางวิชาการเพื่อให้เกิดความเฉลียวฉลาด [4]
- หัตถศึกษาและพละศึกษา (การเรียนอาชีพ): การฝึกฝนทักษะเพื่อการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเอง [4]
- จริยศึกษา (การเรียนธรรมะ): การอบรมให้รู้ว่า “จะเป็นมนุษย์กันอย่างไรให้ถูกต้อง” ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นส่วนที่ขาดหายไป [4][2]
การศึกษาที่สอนเพียงสองส่วนแรกโดยปราศจากส่วนที่สาม คือนิยามของ “การศึกษาหมาหางด้วน” [1][2] ท่านมองว่านี่คือระบบที่ผลิต “บัณฑิต” ที่มีความรู้ท่วมหัวแต่กลับไม่มีคุณธรรมในการกำกับความรู้นั้น ทำให้ความฉลาดกลายเป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบและสร้างปัญหา [5][2] พุทธทาสภิกขุยังใช้คำเปรียบเทียบที่สุภาพกว่าว่า “พระเจดีย์ยอดด้วน” ซึ่งแม้จะมีความหมายเดียวกันคือความไม่สมบูรณ์ แต่ท่านนิยมใช้คำว่า “หมาหางด้วน” มากกว่า เพราะเป็นคำที่รุนแรง กระแทกใจ และทำให้ผู้ฟังลืมได้ยาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของธรรมเทศนาแต่ละเรื่อง จะพบว่าท่านพุทธทาสปรับการให้น้ำหนักของคำนิยามต่างกันไปตามกลุ่มผู้ฟัง เช่น เมื่อบรรยายแก่คณะครู (เอกสารอ้างอิงที่ 2, 5, 8) ท่านจะเน้นย้ำถึงความล้มเหลวใน ‘ระดับระบบ’ และ ‘หลักสูตร’ ที่ขาดจริยศึกษา แต่เมื่อบรรยายแก่นักเรียนและเยาวชน (เอกสารอ้างอิงที่ 4, 6) ท่านจะเน้นที่ ‘ผลลัพธ์ส่วนบุคคล’ คือการกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขและสร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกลวิธีการสื่อสารที่แยบยลของท่าน [6][7][8]
ที่มาของคำเปรียบเทียบและรากเหง้าของปัญหา
พุทธทาสภิกขุอธิบายว่าที่มาของคำเปรียบเทียบนี้มาจาก “นิทานอีสป” เรื่องสุนัขที่ไปติดกับจนหางขาด แล้วมาหลอกเพื่อนฝูงว่าหางด้วนนั้นดีกว่า สบายกว่า ชวนให้สุนัขตัวอื่นๆ ตัดหางตาม [1][6] ท่านเปรียบเปรยว่าประเทศมหาอำนาจในโลกตะวันตกคือ “หมาหางด้วนตัวแรก” ที่พ่ายแพ้ต่อวัตถุนิยมและการเมือง จนตัดสินใจตัด “ธรรมะ” หรือ “ศาสนา” ออกจากระบบการศึกษา [6][3] จากนั้นก็ป่าวประกาศว่านี่คือความเจริญ ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยพลอย “ตามก้น” และยอมตัดหางตามไปด้วย [6][3][1]
ท่านมองว่าความผิดพลาดนี้เริ่มต้นจากการที่โลกให้ความสำคัญกับความเจริญทางวัตถุมากเกินไป [9] การศึกษาจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นเพียงเครื่องมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจและการเมือง โดยมองว่าศาสนาและศีลธรรมเป็นเรื่องเกะกะและไม่จำเป็น [9] ผลลัพธ์คือการสร้างสังคมที่บูชาเงินและกามารมณ์เป็นพระเจ้า แทนที่จะบูชาความถูกต้องและคุณธรรม [6][9] การมุ่งเน้นแต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจและความสำเร็จทางวัตถุ ทำให้แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ถูกหลงลืมไป การศึกษาจึงกลายเป็นเพียงกลไกการผลิตแรงงานป้อนสู่ระบบทุนนิยม มากกว่าที่จะเป็นการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพและมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม
ผลกระทบและวิกฤตการณ์จาก “การศึกษาหมาหางด้วน”
การศึกษาที่ไม่สมบูรณ์นี้ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ที่พุทธทาสภิกขุเรียกว่า “ความเลวร้าย” ซึ่งมีรากมาจากความเสื่อมทรามทางศีลธรรม [9]
1. ผลกระทบต่อปัจเจกบุคคล
- การสูญเสียเป้าหมายของชีวิต: บัณฑิตที่จบออกมาไม่รู้ว่า “เกิดมาทำไม” หรือ “จะไปไหนกัน” [9] พวกเขามีความรู้ทางเทคโนโลยีแต่กลับต้องไปพึ่งพาคอมพิวเตอร์เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับเป้าหมายของชีวิต [9] พวกเขามีชีวิตที่ไร้ทิศทางและว่างเปล่าภายใน แม้จะประสบความสำเร็จภายนอก แต่กลับไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานที่สุดของชีวิตได้
- การบูชาความเห็นแก่ตัว (อหังการะ มมังการะ): ระบบการศึกษานี้ไม่เพียงแต่ไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว แต่ยังส่งเสริมให้ “ตัวกู-ของกู” หรือ “อหังการะ มมังการะ มานานุสัย” (ความเคยชินแห่งกิเลสที่จะยึดถือว่ากู-ของกู) มีความหนาแน่นขึ้น [5][10] ความฉลาดและฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีกลายเป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบผู้อื่น [5] ความสำเร็จถูกวัดด้วยทรัพย์สินและสถานะทางสังคม ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อสนองความต้องการของอัตตา
- ความทุกข์ทางจิตใจและร่างกาย: ความเครียดจากการแข่งขันและการไม่รู้จักพอทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับปัญหา “ปวดหัว” และ “นอนไม่หลับ” จนต้องพึ่งพายา ซึ่งเป็นสภาวะที่น่าละอายเพราะแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เป็น [4][5] ความทุกข์เหล่านี้คือภาพสะท้อนของสภาวะจิตใจที่ไม่ปกติ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อร่างกาย ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น โรคประสาท โรคกระเพาะ และโรคความดันโลหิตสูง [9][7]
- การสูญเสียความเป็นสุภาพบุรุษ: อุดมคติของการศึกษาที่เคยเน้นการสร้าง “สุภาพบุรุษ” ผู้ซึ่งรู้จักควบคุมตนเองและไว้ใจได้ ได้สูญสลายไป [4][6][8] เหลือเพียงการผลิตคนที่เก่งแต่ไม่มีคุณธรรม ไม่เคารพผู้อื่น และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง
2. ผลกระทบต่อสังคม
- อาชญากรรมและความรุนแรงในเยาวชน: เมื่อเยาวชนไม่ถูกสอนให้มีศีลธรรม พวกเขาจึงกลายเป็น “อันธพาล” [6] ปัญหาการตีรันฟันแทงระหว่างสถาบัน, การข่มขืน, และการติดยาเสพติดกลายเป็นเรื่องปกติ [8][6] แม้แต่ในสนามกีฬาก็ยังเต็มไปด้วยการคดโกงและการแก้แค้น ซึ่งตรงกันข้ามกับน้ำใจนักกีฬา [6][8] สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความล้มเหลวของการศึกษาในการขัดเกลาจิตใจของคนรุ่นใหม่
- การคอร์รัปชันที่วิจิตรพิสดาร (โกงกันอย่างวิตถาร): พุทธทาสภิกขุได้อ้างถึงพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงทำนายไว้ว่า การศึกษาแบบใหม่ที่ทำให้คนฉลาดขึ้นโดยไม่มีศีลธรรมกำกับจะนำไปสู่ “การโกงกันอย่างวิตถาร” [2][4] ซึ่งท่านมองว่าเป็นจริงแล้วในปัจจุบัน คนยิ่งฉลาดและมีอำนาจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคดโกงได้อย่างซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น [2] การทุจริตไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขโมยเงิน แต่ยังรวมถึงการบิดเบือนกฎหมายและนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องของตน
- ความแตกแยกในสังคม: รากฐานสำคัญของสังคมคือ “การรักผู้อื่น” [3] เมื่อการศึกษาล้มเหลวในการปลูกฝังคุณธรรมข้อนี้ สังคมจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังและการแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นซ้าย-ขวา, นายทุน-กรรมกร, หรือแม้แต่รัฐบาล-ประชาชน [9][3] ความสามัคคีไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะทุกคนจ้องแต่จะเอาเปรียบและโค่นล้มกัน [9][3]
- สังคม “หมาปากร้าย” และ “หมาช่วยเห่า”: ท่านได้ขยายความเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า การศึกษาหมาหางด้วนได้สร้างสังคมที่เต็มไปด้วย “หมาปากร้าย” (คนที่คิดแต่จะเบียดเบียนกัน) และ “หมาช่วยเห่า” (คนที่คอยยุยงส่งเสริมความขัดแย้ง) แต่กลับขาดแคลน “หมาเลียแผล” (คนที่จะช่วยเยียวยาแก้ไขความทุกข์ให้สังคม) [1]
จากผลกระทบอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคลและสังคมดังที่กล่าวมา พุทธทาสภิกขุมิได้หยุดอยู่เพียงการชี้ปัญหา แต่ท่านยังได้อุทิศธรรมเทศนาส่วนสำคัญเพื่อเสนอแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ผ่านภารกิจที่ท่านเรียกว่า ‘การต่อหางหมา’ เพื่อฟื้นฟูการศึกษาให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
แนวทางการแก้ไข: “การปลูกหางหมา” และการสร้างการศึกษาที่สมบูรณ์
แม้จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่พุทธทาสภิกขุก็ไม่ได้สิ้นหวัง ท่านได้เสนอแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ซึ่งท่านเรียกว่าภารกิจ “ต่อหางหมา” หรือ “ปลูกหางหมา” [3][2] ซึ่งก็คือการทำให้ระบบการศึกษากลับมาสมบูรณ์อีกครั้งด้วยการเพิ่มองค์ประกอบที่สามคือ “ธรรมะ” เข้าไป
1. หัวใจของการศึกษาที่สาม: หลักปฏิบัติ 3 ประการ
พุทธทาสภิกขุสรุปหลักการของธรรมะที่ต้องนำมา “ต่อหาง” ให้กับการศึกษาไว้ 3 ประการสำคัญ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอคือความเห็นแก่ตัว [2]
- รักผู้อื่น: นี่คือหลักการข้อแรกและสำคัญที่สุด เป็นหัวใจของทุกศาสนา และเป็นยาแก้พิษของความเห็นแก่ตัวโดยตรง [10][2] การรักผู้อื่นในทัศนะของท่านไม่ใช่แค่การรักคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ซึ่งเป็นเพียงส่วนขยายของ “ตัวกู” เท่านั้น แต่หมายถึงการเห็นว่าสรรพสัตว์ทั้งปวงคือ “เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ร่วมกัน [4][3] เมื่อมีความรักผู้อื่นเป็นพื้นฐาน ศีล 5 ข้อจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เพราะไม่อาจฆ่า, ลักทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, โกหก หรือแม้แต่ทำความเดือดร้อนให้ผู้อื่นได้ [9]
- บังคับตัวเอง: คือการฝึกฝนให้สามารถควบคุม “กิเลส” หรือความรู้สึกฝ่ายต่ำของตนเองได้ [4][2] เด็กสมัยใหม่ถูกสอนให้ปล่อยตามอารมณ์ ซึ่งท่านมองว่าเป็นความบ้าคลั่ง [4][6] การบังคับตนเองให้ละอายและเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) คือรากฐานของศีลธรรม [8] ถ้าไม่มีการบังคับตนเอง ซึ่งเปรียบเหมือนการมีวินัยทางจิตวิญญาณ ศีลธรรมก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้
- มีความสุขเมื่อทำงาน: คือการเปลี่ยนทัศนคติให้มองเห็นว่า “การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม” [1][2] ไม่ว่าจะเป็นชาวนา, คนกวาดถนน, หรือครูบาอาจารย์ หากทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องและเต็มความสามารถ ก็ถือว่าได้ปฏิบัติธรรมและควรจะมีความสุขจาก “ธรรมปิติ” นั้น [6] ความสุขชนิดนี้เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินซื้อ และทำให้คนไม่ต้องวิ่งหาความสุขจอมปลอมจากอบายมุขหรือกามารมณ์ [1]
2. ภารกิจ “ปลูกหางหมา” เป็นของใคร?
พุทธทาสภิกขุเห็นว่าภารกิจนี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม
- สถาบันการศึกษาและรัฐบาล: มีหน้าที่โดยตรงในการปฏิรูปหลักสูตรให้มีความสมบูรณ์ [6][4]
- ครูบาอาจารย์: ท่านยกย่องว่า “ครูคือผู้สร้างโลก” [6][8] และเรียกร้องให้ครูเป็นมากกว่า “ลูกจ้างของรัฐบาล” แต่ต้องเป็น “ครูของพระพุทธเจ้า” ด้วย คือทำหน้าที่ด้วยจิตวิญญาณเพื่อสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็น “ปูชนียบุคคล” [6]
- พ่อแม่และครอบครัว: เป็นสถาบันแรกที่ต้องปลูกฝังศีลธรรม การทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีในครอบครัวคือการสอนที่มีประสิทธิภาพที่สุด [8][6]
- นักศึกษาและเยาวชน: ท่านมองว่านักศึกษามีพลังและสติปัญญา และได้มอบหมายภารกิจ “ปลูกหางหมา ฆ่าคอมมิวนิสต์ ทำจิตให้มีสถาบันทั้งสาม” ให้เป็นหน้าที่อันเร่งด่วน [3] โดยอธิบายว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์” คือการฆ่าลัทธิแห่งความเกลียดชังด้วย “ยาพิษ” คือความรักผู้อื่นซึ่งเป็นหัวใจของศาสนา [3]
ในประเด็นนี้ ท่านยังให้รายละเอียดที่น่าสนใจว่าการ “ปลูกหางหมา” อาจจะปลอดภัยกว่า “ต่อหางหมา” เพราะการ “ต่อ” อาจเสี่ยงไปเอา “หางลิง” (ลัทธิหรืออุดมการณ์ที่ผิดพลาด) มาต่อให้ ซึ่งจะยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น การ “ปลูก” จึงหมายถึงการฟื้นฟูธรรมะดั้งเดิมอันเป็นของแท้ให้งอกงามขึ้นมาใหม่จากภายใน [3]
บทสรุป
มโนทัศน์ “การศึกษาหมาหางด้วน” ของพุทธทาสภิกขุเป็นการวิพากษ์ระบบการศึกษาและสังคมสมัยใหม่ที่ลุ่มลึกและยังคงท้าทายความคิดมาจนถึงปัจจุบัน ท่านชี้ให้เห็นอย่างเจ็บแสบว่า การที่โลกมุ่งพัฒนาเพียงสติปัญญาและทักษะทางอาชีพ โดยละเลยการบ่มเพาะทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ (ธรรมะ) นั้น คือการสร้างความเจริญที่ “หางด้วน” ไม่สมประกอบ และไม่สามารถนำพามนุษย์ไปสู่สันติสุขที่แท้จริงได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือสังคมที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว, การคอร์รัปชัน, ความรุนแรง และปัจเจกบุคคลที่ต้องทนทุกข์กับความเครียดและความว่างเปล่าทางจิตใจ
ทางออกที่ท่านเสนอคือการ “ปลูกหางหมา” หรือการทำให้การศึกษากลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยการผนวก “ธรรมะ” เข้าเป็นส่วนที่สามที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมีหัวใจอยู่ที่การ “รักผู้อื่น” “บังคับตัวเอง” และ “มีความสุขเมื่อทำหน้าที่” ภารกิจนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม ตั้งแต่ผู้กำหนดนโยบายไปจนถึงครู, พ่อแม่ และตัวเยาวชนเอง แม้ภาษาที่ท่านใช้จะรุนแรงและตรงไปตรงมา แต่เป้าหมายสุดท้ายคือการเรียกร้องด้วยความกรุณาให้สังคมหันกลับมาทบทวนเป้าหมายที่แท้จริงของการศึกษา เพื่อสร้างโลกที่มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขและสมกับ “ความเป็นมนุษย์” อย่างแท้จริง ดังนั้น ข้อวิพากษ์เรื่อง ‘การศึกษาหมาหางด้วน’ จึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงสะท้อนจากอดีต แต่ยังคงเป็นกระจกบานใหญ่ที่สะท้อนปัญหาร่วมสมัย ตั้งแต่ภาวะซึมเศร้าในหมู่นักเรียนนักศึกษา ไปจนถึงการถกเถียงเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งท้าทายให้เราต้องกลับมาตั้งคำถามพื้นฐานที่สุดว่า ‘การศึกษา’ ควรมีไว้เพื่ออะไร
อ้างอิง
- ^ “พูดกับสามเณรและญาติโยมที่มากับเณร จากศานติไมตรี ครั้ง 1 การต่อหางสุนัข”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-10-09-13-3.html
- ^ “พูดกับคณะครูโรงเรียนอาชีวศึกษา”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-06-38-35.html
- ^ “แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2522 พูดกับนักศึกษาที่มาทำบุญล้ออายุ”. (2522). สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2522-4.html
- ^ “พูดกับเนตรนารี (ลูกเสือ) ลูกเสือกับการกลับมาแห่งศีลธรรม”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-10-09-28-3.html
- ^ “อบรมคณะครูจากจังหวัดตรัง ครูกับปัญหาของมนุษย์”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-06-38-29-3.html
- ^ “อบรมนักเรียนจากสุราษฎร์ฯ และนครศรีฯ อะไรเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของมนุษย์”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-10-09-28-3.htm
- ^ “อบรมนักศึกษาครูบาอาจารย์วิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ ธรรมะคืออะไร จะมีธรรมะได้อย่างไร”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-06-42-39-4.html
- ^ “อบรมครูโรงเรียนเบญจมราชูทิศนคร พระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครู”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-06-38-24.html
- ^ “พูดกับคณะกลุ่มสังคมและประวัติศาสตร์ (พุทธทาส)”. สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2019-05-24-06-42-33-4.html
- ^ “เรื่อง วิสาขบูชาเทศนา 2522 (พุทธทาสภิกขุ)”. (2522). สืบค้นจาก https://pagoda.or.th/buddhadasa/2522-1-3.html