มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เล่าว่าเมื่อสัก 15 หรือ 20 ปีที่แล้วได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน หลวงปู่ท่านก็เป็นผู้ที่มีญาติโยมเคารพนับถือมาก เพราะเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยเจ้า ตอนที่เข้าไปกราบท่าน คนก็เต็มศาลาเลย ตัวโยมคนนี้ก็อยู่ข้างหลังเลยนะ เข้าถึงได้ยากมาก เพราะใครๆ ก็อยากจะเข้าใกล้แล้วก็ถวายของด้วยตัวของตัวเอง แต่จู่ๆ หลวงปู่ก็กวักมือเรียก โยมคนนี้ก็เลยมีโอกาสได้คลานเข้าไป แล้วก็ได้ถวายของให้ท่านกับมือและได้สนทนากับท่านด้วย
ท่านก็ให้พร เขารู้สึกปราบปลื้มปิติมากว่า โอ้โห เราโชคดีจังเลย เป็นภาพที่ประทับใจและทำให้เกิดปีติปราโมทย์มาก หลังจากนั้นไม่กี่ปี 4-5 ปีก็ปรากฏว่าตัวเองประสบกับปัญหาต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่หนักๆ ทั้งนั้น ปัญหาครอบครัว ปัญหาการทำงาน ปัญหากับผู้บังคับบัญชา แล้วก็ยังมีเรื่องลูก มีความขัดแย้งมึนตึงกับลูก เรียกว่าเกิดความกลัดกลุ้มมาก แล้วพอเป็นยืดเยื้อ ก็เกิดอาการที่เรียกว่าสติแตกก็ได้ คิดถึงการฆ่าตัวตายเลยทีเดียว แต่ก็ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้
สิ่งที่น่าคิดก็คือว่า ความปีติปราโมทย์ที่เกิดจากการได้ไปกราบหลวงปู่ซึ่งชื่อว่าเป็นพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์นี่ มันไม่สามารถที่จะช่วยโยมคนนี้ได้เลยในยามที่เกิดวิกฤต ทั้งที่ตอนนั้นก็รู้สึกปราบปลื้มปีติมาก รู้สึกว่าเราโชคดี เรามีบุญ แต่ความรู้สึกดีๆ อย่างนั้น จะว่ามันหายไปเลยก็ได้ ตอนที่เกิดวิกฤต แล้วก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ตัวเองก้าวข้ามผ่านความรู้สึกซึมเศร้า เครียด กลัดกลุ้มได้ แต่ที่ผ่านมาได้นี่เพราะ ว่าปัญหาต่างๆ มันเริ่มคลี่คลายลง นี่ถ้าเกิดว่าเขาใจเร็วด่วนได้นี่ก็อาจจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว แล้วก็จะไม่มีโอกาสมาเล่าเรื่องนี้ให้อาตมาฟังได้
เวลาเขาเล่านี่เขาก็ไม่รู้สึกเห็นถึงความเชื่อมโยงหรือตั้งคำถามเลยนะว่า ไอ้การที่มีโชคเป็นบุญที่ได้กราบ อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่นั้นเนี่ย ทำไมจึงไม่สามารถจะช่วยเขาในยามที่เกิดวิกฤตได้
มีหมออีกคนหนึ่งนะก็เป็นลูกศิษย์ที่ศรัทธาในหลวงพ่อองค์หนึ่งมาก ซึ่งก็เช่นเดียวกันเขาก็เชื่อกันว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าหรือพระอรหันต์ แล้วก็ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิด ได้มีโอกาสอุุปัฏฐากท่านหลายครั้ง เพราะว่าเป็นหมอแล้วเขารู้สึกภาคภูมิใจนะว่า ตัวเองเนี่ยมีโอกาสได้ใกล้ชิดท่าน แล้วก็ได้ฟังธรรมของท่าน ก็คิดว่าเท่านี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ราบรื่นผาสุกได้ เพราะว่าธรรมะที่ได้ฟังจากหลวง พ่อก็จะช่วยนำพาชีวิตของตัวเองผ่านพ้นปัญหาไปได้
แต่พอถึงเวลาป่วยหนัก ด้วยโรคมะเร็ง ปรากฏว่าเสียศูนย์ไปเลย มีความทุกข์ทรมานมาก แล้วก็พบว่าธรรมะที่ได้ยินได้ฟังจากหลวงพ่อนี่ มันไม่สามารถที่จะช่วยให้ตัวเองคลายจากความทุกข์ทรมานได้ เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่ธรรมะที่ได้ฟัง แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติเท่าไร แล้วความเป็นคนที่มีโอกาสได้อุปัฏฐากใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ตัวเองรับมือกับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยได้เลย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย
ทั้งสองกรณีนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า การที่คนเรามีศรัทธา แล้วก็มีความปีติปราโมทย์จากการที่ได้ใกล้ชิดหลวงปู่ หลวงพ่อ ซึ่งเป็นโอกาสที่น้อยคนจะได้รับ แต่ว่าพอเวลามีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิต มันก็กลายเป็นวิกฤตขึ้นมาเลย โดยที่สิ่งที่มีอยู่นี่มันช่วยไม่ได้มาก
อันนี้มันแสดงว่า เท่านี้ยังไม่พอในการที่เราจะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้น แม้จะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิด แต่ว่ามันก็ช่วยเราได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นแหละ ต่อเมื่อได้นำธรรมะเข้ามาน้อมเข้ามาใส่ตัว ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว หรือไม่ใช่แค่ว่าเกิดความปีติปราโมทย์อย่างเดียว แต่มันต้องนำมาปฏิบัติ
ปฏิบัติเพื่อให้สติและปัญญามันเจริญงอกงามขึ้นในใจ อันนี้เรียกว่า ทำให้พระสถิตอยู่ในใจเรา ไม่ใช่ว่าอยู่นอกตัว พระที่อยู่นอกตัวแม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ ก็ช่วยเราได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นแหละคือ ทำให้เกิดความปีติในยามที่ระลึกนึกถึง แต่ว่าถ้าปัญหามันหนัก มันรุนแรง มันต้องอาศัยพระในใจนะซึ่งก็คือ ธรรมะที่เราน้อมเข้ามาใส่ตัวนั่นแหละ “โอปะนะยิโก” เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว นี่คือคุณสมบัติประการหนึ่งของธรรมะเรียกว่า “ธรรมคุณ”
น้อมเข้ามาใส่ตัวให้มันกลายเป็นเนื้อเป็นตัว ซึ่งก็ต้องอาศัยการปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ฟังอย่างเดียว เพราะว่าสิ่งที่ฟัง แม้จะฟังมาเยอะ อ่านมามาก แต่เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา บางทีมันลืมตัว พอลืมตัวแล้วก็ลืมหมด ที่ได้ยินได้ฟังมา หรือเอามาใช้ไม่ได้ เวลาเกิดทุกขเวทนาก็บอก “มีสติ มีสติ” แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ สติไม่รู้หล่นหายไปไหน เพราะว่าสติมันไม่มีกำลัง อย่างที่เขาเรียกว่า “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟมาก”