เกิดมาทำไม?

Share

พุทธทาส,

     เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม จึงทำให้แก่ตัวเองก็ทำไม่ถูก เราทำให้ผู้อื่นก็ทำไม่ถูก ถ้าไม่ถูกหนักเข้ามันเบียดเบียนกันโดยตรงและโดยอ้อม เบียดเบียนกัน เบียดเบียนกันโดยตรงนั้นไม่ต้องพูดถึงนั่นล่ะ เป็นเรื่องทำอันตรายกันเลย แย่งชิง แข่งขัน โกรธเคือง เอาเปรียบกัน อะไรแบบนี้ ไอ้เบียดเบียนโดยอ้อมนั้นมันลึกซึ้งมาก เพียงแต่เราอยู่ไม่มีประโยชน์อะไรนี่ก็เป็นการเบียดเบียนโดยอ้อมแล้วนะ เรามีชีวิตอยู่ในบ้าน ในเมือง ในโลก โดยไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้มันเหมาะสมนี่ก็เรียกว่าเบียดเบียนผู้อื่นโดยอ้อมนะ เพราะมันเกะกะคนอื่น กินของคนอื่น ทำให้คนอื่นพลอยลำบากเดือดร้อน ขาดแคลน ยิ่งถ้าเราทำไม่ดีด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นการเบียดเบียนใหญ่โต

     คำนี้แหละสำคัญที่สุด ให้รู้ว่าเกิดมาทำไม ทีแรกมันก็รู้ แต่รู้นิดเดียว เด็กๆ ก็บอกได้ว่าเกิดมาทำไม แต่แล้วมันถูกนิดเดียว ยังจริงน้อย แต่อยู่ไปอยู่ไป อ้าว ก็เห็นว่า เออเกิดมามันมากกว่านั้น มากกกว่าแค่เด็กๆคิด อยู่มาจนเฒ่าจนแก่ก็รู้ว่ามากกว่านั้น เสร็จแล้วก็ยังไม่ถึงที่สุดก็ได้ เพราะคนเฒ่าคนแก่บางคนรู้อะไรน้อยก็มี ทีนี้เพื่อว่าให้คุณคิดได้ง่ายๆ คิดได้เร็วๆ ผมก็จะพูดบ้างตามความเห็นของผมว่าเราเกิดมาทำไม เพราะผมคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา คือ ถ้าว่าโดยส่วนตัวเรา เราเกิดมาเพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือถ้าพูดทางสังคม เราก็เกิดมาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกันนั่นแหละ นี่เค้าให้ท่องไว้

    โดยส่วนตัวเรานี้ เราเกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่คุณไปคิดดู อะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คนโง่ คนเขลา คนพาล นั้นจะนึกได้แต่เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย อันนั้นน่ะดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และก็ไปหลงในสิ่งเหล่านั้น และก็แย่งกันสิทีนี้ แย่งกันเหมือนสัตว์แย่งอาหารนั่นก็เลยได้เบียดเบียนกัน นี่ก็เรียกว่าไม่รู้จักว่าอะไรดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันต้องความดี ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเจริญ ความมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ

    เราเกิดมาทีนึงหัวใจเต็มไปด้วยความรู้ ด้วยแสงสว่าง ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความสุขสงบเย็น นั่นแหละดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่ใช่เกิดมากินเหล้าเมายา สำมะเลเทเมา เค้าเรียกว่าเอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง ทางปาก ทางท้อง นั่นมันเป็นเรื่องโง่ที่สุด ต่ำที่สุด สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น สัตว์นรกก็ทำเป็น พวกเปรต พวกยักษ์ พวกอสูรกายอะไรก็ทำเป็น มันก็เลยไม่ดี ไม่ดีอะไร แต่ถ้าหัวใจสะอาด สว่าง สงบเนี่ย น้อยคน น้อยคนจะทำเป็น พวกยักษ์ พวกมาร พวกสัตว์เดรัจฉานอะไรทำไม่เป็นนะ พวกนี้มนุษย์ก็ยังน้อยคนจะทำเป็น

    นั่นแหละสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันก็อยู่แค่นี้แหละ อยู่ที่เราเกิดมาที่นึงให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด อยู่แค่ว่าหัวใจของเรามีความสะอาด สว่าง สงบ เย็น คำว่าเย็นนะเป็นชื่อของนิพพาน ถ้าคุณไม่รู้ ก็รู้เสียทีเถอะ เพราะเพิ่งบวช เพิ่งอะไร ไม่รู้ รู้เสียทีว่าคำว่านิพพานนั้นแปลว่าเย็น ถ้าร้อนล่ะก็ไม่ เป็นวัฏสงสาร ถ้าเย็นล่ะก็เป็นนิพพาน บางเวลาเราร้อน มันเป็นวัฏสงสาร เป็นนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกายเสียก็มี แต่บางเวลาหัวใจของเราเย็นก็มีเหมือนกัน นั่นแหละเป็นนิพพาน แต่มันเย็นนิดเดียว เย็นครู่เดียว ก็เลยเป็นนิพพานเล่นๆ นิพพานชั่วคราว นิพพานจำลอง แต่ก็ยังดีกว่าไม่เย็นเสียเลย ก็ขอให้รู้จักเย็นกันไว้บ้าง

    พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคำสั้นๆ ได้ความว่านิพพานนั้นคือความที่อายตนะเป็นของเย็น อายตนะนี่คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่หก อายตนะหกนี่เป็นของเย็นเมื่อไหร่เมื่อนั้นเรียกว่านิพพาน แต่ถ้าเป็นของร้อนเมื่อไหร่ก็เรียกว่าวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ เมื่อเราได้เห็นรูป ได้ฟังสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ถ้าเราทำผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ก็เลยเป็นวัฏสงสาร เป็นความทุกข์ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นของร้อนไปทันที ถ้าเรามีสติ มีความรู้ มีสติสัมปชัญญะ ทำถูก พูดถูก คิดถูก มันก็เย็นสิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ยังเย็นไปตามเดิมนี่เป็นนิพพาน แต่นิพพานชนิดนี้ให้เป็นเรื่อยไป เรื่อยไป มากเข้า ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ให้เป็นนิพพานจริง นิพพานถาวรไปเลย เวลานี้เป็นนิพพานชั่วคราวก่อนก็ยังดี ให้เย็นมากกว่าให้ร้อน อย่าให้ร้อนมากกว่าให้เย็น

โอวาททัศนาจรแก่พระที่มาจาก อ.ท่าฉาง จ. สุราษฎร์ฯ ให้โอวาทแก่ พระภิกษุ สามเณร ญาติโยม และอื่นๆ