หิวแสงกันเถอะ

Share

ปัญญานันทภิกขุ,

    บ่นว่า “ทำไมฉันจึงเกิดมาอย่างนี้ ทำไมฉันจะต้องเป็นทุกข์อย่างนี้ ทำไมทำกับฉันอย่างนี้” ใครทำให้ ทำเองทั้งนั้น ทุกคนทำเอาเองทั้งนั้น


    พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำใครให้เป็นอะไร แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น มันเกิดเพราะความคิด การพูดการกระทำ การคบหาสมาคม การไปการมาของเราเอง แต่เราไม่มองตัวเอง ไม่ได้พิจารณาตัวเอง มองไปแต่ข้างนอกไม่เคยหันแสงเข้ามาที่ตัว ไม่มีเวลาสำหรับตัวเสียเลย มีเวลาสำหรับสิ่งอื่นภายนอกเยอะแยะ วิ่งๆเต้นๆอยู่ในเวทีของโลกแต่ไม่ได้เข้าฉาก ไม่ได้หลบเข้าไปในฉากแล้วไปนั่งดูว่า

    “กูมันคืออะไร กูเกิดมาทำไม กูมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดมันคืออะไร เราควรจะทำอย่างไรจึงจะได้สิ่งเหล่านั้น” ไม่มี คิดไม่ได้ เพราะแต่ละคนที่อยู่รอบๆตัวเรานั้น ก็ตามืดเหมือนกัน บอดเหมือนกัน แล้วก็ถูกเจ็บช้ำน้ำใจกันมาเหมือนๆกัน แต่ว่าอยู่ไปอย่างนั้นแหละ อยู่ไปตามเรื่องซังกะตาย อยู่ไปตามเรื่อง ความจริงประตูออกมันมี แสงสว่างมันมีแต่เราปิดมันเสีย ไม่เปิดให้แสงสว่างเข้ามาส่องใจ ผู้รู้ก็มีแต่เราไม่อยากเข้าใกล้ การเข้าใกล้ผู้รู้นั้น มันจืดชืด ไม่มีรสไม่มีชาติ

    ไปหาพระนี่ ท่านพูดแต่เรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราต้องการ พูดแต่เรื่องความทุกข์ให้เราฟัง แต่ความจริงนั้นท่านพูดเรื่องจริงให้เราฟัง แต่เราไม่อยากฟังเรื่องจริงๆ เราอยากฟังแต่เรื่องหลอกๆ เรื่องที่เป็นมายา ภาพที่เขาแต้มสีไว้สวยๆ เราชอบอย่างนั้น แล้วก็หลงอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จึงถูกสิ่งนั้นเป็นพิษเป็นภัยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจไปตามๆกัน ต่อเมื่อใดเจ็บหนักทนไม่ไหว เลยกระเสือกกระสนไปหาผู้รู้ ช้ำเต็มที่แล้วต้องเข้าวัดแล้ว ปรากฏว่า ดาราบางคนถอยเข้าวัด ไปเป็นชีมันเสียเลย พูดภาษาธรรมดาว่า ไปเลียแผลอยู่ที่นั่น เพราะว่ามันทำเอาเจ็บนัก ไม่ใช่ ไม่ใช่โลกทำให้ฉันเจ็บ แต่ฉันเสือกเข้าไปให้โลกมันทุบเอง โลกไม่ได้ทำให้เรา แต่เราเสือกเข้าไปหาโลก ไปหาสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง

    เพราะความหลง ความเข้าใจผิด ไม่ได้ศึกษาเรื่องชีวิตให้ถูกต้องมาตั้งแต่เริ่มต้น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก็ไม่สอนให้เราเข้าใจเรื่องชีวิต สอนแต่เรื่องธรรมดาๆ ที่เขาเรียนนั่นแหละ แต่ไม่สอนให้เกิดปัญญา ให้มีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง ไม่สอนให้รู้เทคนิคในการต่อสู้ปัญหาชีวิต เลยเราไม่มีเทคนิคในการต่อสู้เลย พอขึ้นเวทีก็ถูกน็อก ล้มลงไปเท่านั้นเอง หน้าตาปูดบวมไปตามๆกัน เพราะไม่มีเทคนิค หมัดของนายเขาทราย นายอะไรๆที่มันชกกัน มันไม่แรงหรอกไม่แรง แต่หมัดคือความหลงความเข้าใจผิดมันแรงเหลือเกิน มันชกเอาจนตาปิด หมัดเขาทรายตามันไม่ปิดชกแล้วก็มันเปิดได้ แต่ว่าหมัดของอารมณ์ร้ายๆที่มากระทบเรา ตามืดไปเลย พร่าไปเลย มองอะไรไม่เห็น เห็นก็ไม่ชัด มืดๆมัวๆแล้วก็ทำให้ชีวิตเสียหาย น่าเสียดาย เกิดมาชาติหนึ่งไม่ได้พบกับความสุขที่แท้จริง ไม่ได้พบพระ ไม่ได้พบธรรมะเสียเลยนี้มันน่าเสียดาย เหมือนนกอยู่ในอากาศก็ไม่รู้จักอากาศ ปลาอยู่ในน้ำก็ไม่รู้จักน้ำ มันอยู่กันอย่างนั้น เรียกว่า “นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ” เราเป็นอย่างนั้น จึงเกิดปัญหาขึ้น

    ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นวันนี้ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา เรียกว่าเป็นวันพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ราชการก็หยุดให้คนได้พักผ่อนทางกายเพื่อให้ไปวัด แต่ว่าหยุดแล้วกลับไปบางแสนไปพัทยา ไปหาความสนุกสนาน ไปให้มันถูกเตะถูกถองต่อไป ไม่เข้าวัดเข้าวาไม่มาฟังธรรม นั่นพวกหนึ่ง แต่อีกคนพวกหนึ่งนั้นอุตส่าห์มาวัด วันนี้ก็เรียกว่ามากเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันสำคัญนั่งกันเต็มไปหมด บางคนก็นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงไปตามเรื่อง พระเทศน์ให้ฟังก็ไม่สนใจเท่าไร เพราะชีวิตมันยังมืดยังหลง ใครเอาแสงสว่างมาจ่อตาก็หลับตาเสีย มันสว่างมากหลับตา กูไม่ดู พอมาจ่อหู ก็ปิดหูเสียไม่เปิด ไม่เปิดรับแสงสว่างทางธรรมะ ก็อยู่ในสภาพเดิม เรียกว่าโปรดไม่ได้ เพราะเราไม่ยอมรับสิ่งที่พระจัดให้ บางทีฟังๆนี่หลวงพ่อนี่ว่ากู ด่ากูแล้วหาว่าด่า เราพูดสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับต้องการแล้วก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าวันหนึ่งเราจะต้องการสิ่งนี้ ชีวิตมันบังคับให้เกิดความต้องการขึ้นมา แล้วเราก็ต้องการสิ่งที่ถูกต้อง แต่บางทีมันก็สายเกินไป ปรับตัวไม่ทัน นี่ก็น่าเสียดาย

    เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวนี่ ถ้าเริ่มเข้าหาธรรมะเสียบ้าง รับแสงสว่างทางธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้เสียบ้าง ชีวิตจะดีขึ้น จะก้าวหน้าอย่างปลอดภัย ไม่ต้องรับความทุกข์เจียนตาย หรือได้รับความเจ็บช้ำบอบช้ำทางใจ เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้มาก่อน ธรรมะมีอยู่ แสงสว่างมีอยู่ แต่เราหันหลังให้ เราไม่เข้าไปใกล้แสงสว่าง ไม่ฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แต่ชอบฟังเพลงจากตลับราคา ๖๐ กว่าบาท เทปธรรมะตลับละ ๒๕ บาท ซื้อเทปเพลง ๑ ตลับ ซื้อเทปธรรมะได้ ๒ ตลับ ๔ หน้า เอาไปฟังได้ นั่งรถติดการจราจรก็เอาไปเปิดเทปฟังไปไม่นั่งกลุ้มใจ บางคนกลุ้มใจกับการจราจร เครียด หงุดหงิด ได้อะไร

    เครียด ก็คือ ทำให้ประสาทมันเสียทรงเสียรูป ไม่สมดุลเป็นทุกข์ มีปัญหา ถ้าเครียดเพราะการจราจรแล้ว อยู่กรุงเทพไม่ได้ มันจะเครียดๆหนักเข้าเป็นโรคจิตทางประสาท เราไม่เครียด ธรรมดา นั่งรถก็นั่งสบายไปมันติดก็เฉยๆ พอเขาเปิดให้ไปได้ก็ไป ไปตามเรื่องตามราว

    หลวงพ่อนั่งรถเข้ากรุงเทพ มันก็เห็นอย่างนั้นพอไปถึงปลายทางก็ถามทุกราย “รถติดไหมครับหลวงพ่อ” อย่าถามว่ารถติด ควรจะถามว่า”โล่งดีไหม” ไอ้เรื่องรถติดมันเรื่องธรรมดาของกรุงเทพ ไปถามทำไม มันติดทุกที ไอ้วันไหนรถไม่ติดนะมันผิดปกติ วันไหนเราขับรถไปไม่ติดนี่มันผิดปกติแล้ว กรุงเทพผิดปกติแล้ว แต่ว่าปกติแล้วมันก็ต้องติดเป็นธรรมดา พอจะออกจากบ้านต้องนึกว่าวันนี้รถต้องติดเป็นธรรมดา

    เตรียมใจให้มันสงบสบาย อย่าไปอึดอัดขัดใจเรื่องรถติด นั่งไปเฉยๆมันติดก็ติดไป ถ้าเรานั่งกลุ้มใจแล้วมันจะไปได้ไหม กลุ้มใจนี่จะไปได้ไหม ร้อนใจจะไปได้ไหม ไอ้ข้างหน้ามันอัดแน่น ร้อนใจก็เผาตัวเองอยู่ในรถ ติดแอร์ก็นั่งร้อน เรื่องอะไร เรื่องอะไรที่มาลงโทษตัวเองอย่างนั้น เรื่องอะไรที่ไปหาความทุกข์มาเผาตัวเองอย่างนั้น ไม่เรียกว่าโง่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร คือ เราอาจจะฉลาดในเรื่องอื่นร้อยแปด แต่โง่ในเรื่องไม่รู้จักปรับตัวเองให้เหมาะแสถานการณ์ แล้วก็นั่งกลุ้มใจ กลุ้มใจทีไรก็โง่ทุกที ปัญญาอ่อนทุกที ให้เข้าใจอย่างนั้น

    พอกลุ้มใจก็เอาอีกแล้ว ปัญญาอ่อนอีกแล้ว ชี้หน้าตัวเอง ชี้ไปตรงนี้ก็ได้ หัวใจ เอาอีกแล้วปัญญาอ่อนอีกแล้ว ทุกข์อะไร ทุกข์ทำไม ทุกข์แล้วมันได้อะไร เวลาเราทุกข์แล้วมันได้อะไร สภาพจิตเป็นอย่างไร อารมณ์จิตเป็นอย่างไร ความรู้สึกนึกคิดเป็นอย่างไร

    คนรถคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง นายผมขึ้นรถนั่งรถนี่แหม หงุดหงิด บ่นวาว่าผมขับรถยังไง ทำไมไม่ไป มันจะไปยังไง มันก็ติดอยู่ ก็เห็นอยู่แล้ว แต่ก็บ่น คนขี้บ่นนั่นเอง ขี้หงุดหงิดงุ่นง่าน อารมณ์เสีย ได้ปริญญาก็ไม่เอาไหน ไม่ได้ปริญญาทางธรรมะ …

    ปริญญา แปลว่า รู้รอบ แต่มันไม่รอบ มันไปขาดตอนใดตอนหนึ่ง เช่น มันไม่ต่อ ไปขาดตรงนั้นไปขาดตรงนี้ รู้สิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ มันยังใช้ไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ในสิ่งที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ พ้นปัญหาไม่สร้างปัญหาให้แก่ชีวิต นั่นแหละรู้แท้ ปริญญาแท้ปริญญาทางธรรมะ เป็นปริญญาแท้ใช้ได้ ให้โยมเข้าใจอย่างนั้น

    วันนี้ก็ควรนั่งสงบจิตสงบใจ นั่งมองดูตัวเองเสียบ้าง หาที่นั่งสงบๆ ไม่พูดไม่คุยกับใคร ขอเวลาพูดกับตัวเองหน่อย แล้วก็มองข้างใน มองว่าเรานี้อายุเท่าไร มีความรู้อะไร ทำการงานอะไร ในชีวิตประจำนี่ถูกเผาด้วย ความรัก ความโกรธ ความหลง ความริษยาพยาบาท ด้วยความหลงผิดมีประมาณเท่าไร ชีวิตเป็นปกติหรือวุ่นวายอย่างไร แล้วมันผิดปกติเพราะอะไร มันวุ่นวายเพราะอะไร ศึกษาเหตุผลของชีวิต เรียนเรื่องชีวิตให้เข้าใจ รู้อะไรถ้าไม่รู้จักชีวิตของตัวถูกต้องมันก็ยังยุ่งอยู่นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ในวันมาฆบูชา ควรจะพูดจะสนทนากันแต่เรื่อง ความดับทุกข์ เรื่องความทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องปัญหาชีวิตเอามาคุยกันก็ได้ คุยกับผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน ถ้าไม่มีจะคุยใคร ก็ไปนั่งเงียบๆตามข้างกอไผ่ ตามริมสระน้ำที่ร่มรื่น ปลีกตัวออกจากโลกที่วุ่นวายเสียสักวันหนึ่ง คืนหนึ่ง มานั่งอยู่ที่วัด รับประทานอาหารตอนกลางวันก็เยอะแยะกินกันไม่หวาดไหว กินง่ายๆกินพออยู่ได้ ไม่ได้กินเพื่อให้อ้วนให้พี ให้สวยให้งาม ให้อะไรอย่างนั้น กินอย่างนั้นมันแพง เรากินนึกว่ากินพออยู่ได้ จะได้ใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป คิดเท่านั้นมันก็สบายใจ วันมาฆบูชาควรจะคิดอย่างนั้น