"ถอย" ดีกว่า

Share

พระไพศาล วิสาโล,

คนเราจะรู้จักสิ่งใดหรือสถานที่ใด ถ้าจะรู้ชัดๆ ก็ต้องออกมาจากที่นั่น พวกเราอยู่เมืองไทยจะไม่รู้ว่าเมืองไทยเสียงดังจอแจ พอเรามีโอกาสไปต่างประเทศ อย่างในยุโรป จะพบว่าหรือรู้สึกว่าเมืองไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพเสียงดังจอแจ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งกลางค่ำกลางคืน ในประเทศยุโรปกลางคืนเงียบ ขณะเดียวกันก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเมืองไทยมีชีวิตชีวา คนที่ไปสิงคโปร์จะพบว่าเมืองไทยมีชีวิตชีวากว่าเยอะเลย แม้ว่ารถจะติด หรือจะมีความพลุกพล่าน ยังไงก็ยังมีความมีชีวิตชีวามีรสชาติกว่าสิงคโปร์มาก บางคนบ่นเมืองไทยว่าอย่างโน้นอย่างนี้ พอไปอินเดียถึงรู้ว่า เมืองไทยมีอะไรดีๆ เยอะแยะ ถ้าไม่ไปอินเดียก็ไม่รู้ ฉะนั้น เราจะรู้จักเมืองของเรา ประเทศของเรา ก็ต่อเมื่อเราออกไปจากนั้น พอเราอยู่ที่ไกลเราถึงจะเห็นจากที่ๆเราเคยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเมือง ประเทศ ยิ่งถ้าออกไปนอกโลกยิ่งรู้สึกเลยว่าโลกของเรามันสวยงาม

คนที่โชคดีเป็นนักบินอวกาศ ได้ออกไปโคจรรอบโลกก็จะรักโลกเรามากขึ้น และจะรู้สึกรักคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนาต่างภาษา เพราะรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนร่วมโลก ตอนอยู่ในโลก ตอนอยู่ในประเทศของตัว ก็จะรู้สึกว่า คนประเทศโน้นประเทศนี้มันต่างจากเรา เป็นคนต่างชาติ ต่างด้าว ผิวสีต่างๆ แต่พอขึ้นไปเห็นโลก บนนั้นโลกมันไม่มีพรมแดน ชีวิตต่างๆ เชื่อมกันหมด ก็เลยรู้สึกเลยว่าผู้คนในโลกนี้เป็นพี่น้อง เป็นเป็นเพื่อนกัน กลับลงมาแล้วก็จะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อคนต่างชาติต่างภาษาน้อยลง ถึงแม้เราจะไม่ได้มีโอกาสออกจากโลก แต่เราก็มีโอกาสที่จะออกจากสถานที่ที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นเมือง หรือว่าประเทศ หรือแม้กระทั่งออกจากบ้านมาอยู่ที่วัด ก็จะรู้สึกได้เลยว่า ที่ที่เราอยู่ ที่เราเรียกว่าบ้าน มันมีความวุ่นวาย

ก่อนหน้านั้นอาจจะไม่รู้สึก แต่พอมาอยู่วัด ได้สัมผัสกับความสงบความเงียบ ก็จะเห็นชัดว่า ที่ที่เราอยู่ที่ที่เราทำงานนั้นเป็นอย่างไรการออกมาจากที่ใดที่หนึ่งก็จะทำให้เราเห็นที่นั้นชัด ยิ่งถ้าไม่ใช่แค่สถานที่เท่านั้น วิถีชีวิตก็เหมือนกัน ตอนที่เราใช้ชีวิตอยู่ในเมือง หรือเรียกว่าใช้ชีวิตทางโลก อาจจะเห็นชัดว่าเราใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่พอออกมาอยู่สถานที่ที่เงียบสงบ ใช้ชีวิตอย่างเนิบช้า เราก็จะเห็นเลยว่าวิถีชีวิตที่เราอยู่มันเร่งรีบ มันวุ่นวาย และบางครั้งก็เห็นถึงความไร้สาระ  วันทั้งวันเอาแต่ทำงาน วิ่งหัวซุกหัวซุนเลย ไม่เคยสงสัย ไม่เคยตั้งคำถามกับวิถีชีวิตแบบนี้ว่ามันดีจริงหรือ อาจจะเป็นเพราะความสะดวกสบาย หรือเป็นเพราะว่าไหลไปตามกระแส จึงไม่เคยตั้งคำถามว่ามันเป็นชีวิตที่เหมาะกับสิ่งที่เราปรารถนาหรือเปล่า 

ทำงานตั้งแต่เช้ามืดจรดค่ำ นอนดึกๆ ดื่นเพียงเพื่อจะมีเงินมาผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด แต่ไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาอยู่กับคนรัก ลูก คู่ครอง พ่อแม่ หรือบางทีก็ไม่เคยสงสัยชีวิตที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวเล่นช้อป เพลินหลงไปกับมัน แต่พอถอยออกมาจึงรู้ว่ามันเป็นชีวิตที่ไร้สาระ และเป็นชีวิตที่เหนื่อยล้ามาก ไล่ล่าหาความสุข แต่ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ได้มาเลย

ถ้าไม่ถอยออกมาก็ไม่เห็น หรือตั้งคำถามกับวิถีชีวิตที่เคยใช้ หรือบางคนตอนอยู่ในเมือง อยู่กับโทรศัพท์มือถือ อยู่กับโซเชียลมีเดียทั้งวัน วันละหลายชั่วโมง จนกระทั่งรู้สึกว่าขาดมันไม่ได้ แต่พอถอยออกมาอยู่ที่ ก็จะรู้สึกเลยว่า ที่เราใช้เวลาไปกับโทรศัพท์มือ โซเชียลมีเดียที่มันไร้ประโยชน์จริงๆ เหมือนกับตกอยู่ในความหลง มัวเมา จนคิดว่าขาดมันไม่ได้ แต่พอมาอยู่ก็พบว่า ไม่มีมันเราก็มีความสุขได้เหมือนกัน มีความสงบ

เด็กนักเรียน เด็กวัยรุ่น อย่างพวกที่มาเดินธรรมยาตราจากโรงเรียนในเมือง เช่น รุ่งอรุณ หลายคนรู้สึกว่าชีวิตนี้ขาดโทรศัพท์ไม่ได้ ถ้าไปที่ไหนไม่มีสัญญาณ จะเป็นจะตาย แต่พอมาเดินธรรมยาตรา ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ หรือบางทีเสร็จจากเดินธรรมยาตรา เดินป่าอีกวันสองวัน ไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณ โทรศัพท์ก็ถูกยึด หรือใช้ไม่ได้ จึงรู้ว่าชีวิตแบบนั้นมันเป็นชีวิตที่เราไม่มีก็ได้

หรืออย่างน้อยก็พบว่า ไม่มีโทรศัพท์มือถือเราก็อยู่ได้ และมีความสุขด้วย ก็เลยเห็นว่าชีวิตในเมืองเป็นชีวิตที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเสพ หรือว่าเทคโนโลยี ไม่มีเวลาที่จะได้มาเรียนรู้ธรรมชาติหรือได้อยู่กับตัวเอง

ถ้าไม่ออกมา ก็ไม่เห็นหรือตั้งคำถามกับวิถีชีวิตที่มีอยู่ การถอยออกมานั้นช่วยทำให้เราเห็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นของสถานที่หรือวิถีชีวิตได้ หรือมองมันด้วยมุมมองสายตาใหม่

ที่จริงแม้กระทั่งเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เราเคยเอาเป็นกับตายกับมัน เช่น ความขัดแย้ง การทะเลาะกัน ยืนยันเอาเป็นเอาตายกับความเห็นของตัว ไม่ยอมกันจนกระทั่งเกิดความร้าวฉาน อย่างที่พูดเมื่อวานนี้ สามีภรรยาที่ร้าวฉานเพียงเพราะว่าไม่ยอมกันเรื่อง กระเบื้องแค่แผ่นเดียว ไปเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตาย เอาถูกเอาผิด อย่างประเภทที่ว่าไม่ยอมกัน ตอนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่ได้คิดอะไร มันมีแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกันให้ได้ แต่พอเวลาผ่านไป หนึ่งอาทิตย์สองอาทิตย์ มันก็เห็นเลยว่าที่เราทะเลาะเบาะแว้ง ที่เราไม่ยอมกัน มันขาดสติจริงๆ แค่กระเบื้องแผ่นเดียวก็ยอมที่จะแตกหักกันได้ ครอบครัวสามีภรรยานี้ พอผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ มองย้อนกลับมาที่เหตุการณ์วันนั้น ก็เลยรู้เลยว่าเรามันขาดสติจริงๆ ขาดปัญญาด้วย แค่เริ่มแค่นี้ก็มาทะเลาะเบาะแว้งจะเอาเป็นเอาตายให้ได้ เพียงเพราะไม่ยอม

การถอยออกมาจากเหตุการณ์ก็ช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น และเห็นถึงความไร้สติ หรือความหลง สิ่งเหล่านี้บางทีถ้าไม่ได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์ มันก็ไม่เห็นว่า ตอนที่อีลุงตุงนังอยู่ในเหตุการณ์นั้น เราเผลอเราพลาด บางคนต้องใช้เวลานาน หลายสิบปี พอแก่ชราถึงรู้ว่าไม่น่าจะไปเสียอารมณ์กับเรื่องเล็กๆแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่มองเห็น เพราะบางคนก็มองไม่เห็นเลย เกิดความเคียดแค้น ไม่ให้อภัย ไม่ยอมคืนดี แต่การที่เรามีโอกาสที่จะถอยออกมาจากเหตุการณ์มันช่วยทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนตัวเอง หรือใช้สติ อย่างสามีภรรยาคู่นี้ ตอนหลังก็หันมาหันหน้าเข้าหากัน ขอโทษขอโพย กลับมาคืนดีกัน

บางทีเวลาก็ช่วยทำให้เราเห็นอะไรชัดเจน และตระหนักถึงความผิดพลาด และรู้ว่าควรทำอย่างไร อันนี้เป็นเพราะได้ถอยออกมา หรือมองย้อนกลับเหตุการณ์ในอดีต เวลาที่ผ่านไปมันก็ช่วยทำให้เราสามารถที่จะถอยออกมาจากเหตุการณ์ที่เคยร้อนแรง และรู้ว่าได้ผิดพลาดอย่างไร ก็กลายเป็นบทเรียนของชีวิต บางคนพอเวลาผ่านไปสัก 10 ปี 20 ปีจึงรู้ว่า ที่เราไปน้อยอกน้อยใจแม่ เพราะแม่ไม่ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ หรือว่าไม่ซื้อเครื่องเสียงให้ ไม่ซื้อรองเท้าให้ อันนี้เป็นความขาดสติของเรา ตอนนั้นน้อยอกน้อยใจมาก จะเป็นจะตาย แต่พอเวลาผ่านไปก็เห็นว่า จริงๆแล้วแม่ก็ยังรักเรา แต่ตอนนั้นคิดว่าแม่ไม่รักเรา ไปรักพี่ชาย ไปรักน้องชาย เพราะเวลาผ่านไป ถอยออกมาจากเหตุการณ์ หรือมองย้อนกลับไปได้รู้ว่าแม่รักเรา พ่อที่ดุด่าว่าเราเพราะกลับบ้านดึก ตอนนั้นก็รู้สึกว่าพ่อไม่รักเรา แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น มองกลับไปก็รู้ว่าที่จริงพ่อก็รักเรา แต่เพราะความร้อนความร้อนแรงของเรา ก็เลยคิดว่าท่านไม่รักเรา ความรู้สึกที่เคยชิงชังหรือน้อยอกน้อยใจพ่อแม่ก็หายไป เพราะเราได้ถอยออกมาจากเหตุการณ์นั้น หรือจากเวลานั้น

ฉะนั้นการถอยออกมา ไม่ว่าจากสถานที่ จากวิถีชีวิต จากเหตุการณ์ รวมทั้งเรื่องราวในอดีต มีประโยชน์มาก แต่จะให้ดีเราก็ต้องรู้จักถอยออกมาจากสิ่งที่สำคัญด้วย ถอยออกมาจากอารมณ์และความคิด

การถอยออกมาจากสถานที่ จากเหตุการณ์ จากวิถีชีวิตต้องใช้เวลา แต่บางคนก็ไม่มีโอกาสที่จะถอยออกมาเลย อันที่จริงแล้วถ้าหากว่าเราจะถอยออกมาจากเหตุการณ์ใด เราจะถอยออกมาได้อย่างทันท่วงที ถ้าหากว่าเราถอยออกมาจากอารมณ์ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ความโกรธ ความเกลียด ความน้อยเนื้อ ความเครียด พวกนี้มันเกิดขึ้นกับเราวันละหลายๆครั้ง วันแล้ววันเล่า แต่ถ้าเราไม่รู้จักถอยออกมา มันก็เลยครอบงำจิตจิตใจของเรา และทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ หรือว่าทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกเสียใจ หรือว่ากลุ้มใจ หรือรู้สึกผิด ก็เพราะเราไม่รู้จักถอยออกมาจากอารมณ์ตอนที่เรื่องมันกำลังสดๆ หรือเมื่อมีการปะทะหรือกระทบ ไม่ว่าคำพูดที่กระทบ หรือการกระทำที่กระทบ หรือความสัมพันธ์ที่กระทบกัน มันย่อมเกิดอารมณ์

แต่ถ้าเราสามารถที่จะเอาจิตถอยออกมาจากอารมณ์นั้นได้ มันก็จะไม่สามารถบงการจิตใจของเรา ความสามารถในการถอยออกมาจากอารมณ์สำคัญมาก และสิ่งที่จะช่วยให้เราถอยออกมาได้คือสติ เห็นมัน เพราะพอเห็นมันก็ทำให้จิตหลุดออกจากอารมณ์ได้ ที่จริงการถอยออกมาก็ช่วยทำให้เราเห็นมันได้อย่างชัดเจน เราจะเห็นอะไรเราจะรู้จักอะไรได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเราถอยออกมา เหมือนกับเราจะเห็นศาลา เราจะเห็นได้ชัดเจนเราต้อง ถอยออกมา ไปอยู่นอกศาลาถึงจะเห็นว่ามีหลังคา มีหน้าจั่ว มีรูปร่างอย่างไร เราอยู่ในตึก ไม่ว่าจะตึกเก่าหรือตึกใหม่ ถ้าเราอยู่ในตึกนั้นเราไม่รู้ว่าตึกนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร เพราะตึกทุกตึกส่วนใหญ่ข้างในเหมือนกันหมด จนกว่าเราจะถอยออกมา มาอยู่ข้างนอก จึงเห็นว่าตึกนี้มันเป็นตึกทันสมัยมาก รูปร่างประหลาด หรือเป็นตึกเก่าที่สร้างแบบโบราณ สร้างในลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบโบราณ

ต้องถอยออกมาอยู่ข้างนอกจึงจะเห็น จึงจะรู้จักได้ชัดเจน เช่นเดียวกับความทุกข์ ถ้าเรายังจมอยู่กับความทุกข์ เราก็ไม่เพียงจะถูกความทุกข์มันรุมเร้าเผารนจิตใจ แต่ยังทำให้เราหลง แต่ถ้าเกิดว่าเราถอยออกมาจากความทุกข์ เราก็จะเห็นทุกข์เราก็จะรู้จักทุกข์ เราก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากทุกข์ หรือว่าเห็นสัจธรรมจากทุกข์ได้ ถ้าไม่เห็นทุกข์ก็ไม่รู้ทุกข์ และถ้าไม่รู้ทุกข์ก็จะออกจากทุกข์ หรือพ้นทุกข์ไม่ได้