หัวใจพุทธศาสนา
หัวใจของพระพุทธศาสนาที่เหมือนกับไข่ไก่ ถ้ามีใครไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าคำสอนทั้งหมดของพระพุทธองค์สรุปเอาแต่ใจความเอาแต่เนื้อแท้แล้วจะมีว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าจะสรุปเอาแต่ใจความ เอาแต่เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาแล้วก็จะมีว่า
สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราหรือว่าของเรา
คือหัวใจของพุทธศาสนา มีใจความว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ อันใครๆ ไม่ควรหลงสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ถ้าใครไปหลงสำคัญมั่นหมายอะไรว่าเป็นตัวเราของเราเข้าแล้ว คนนั้นจะมีความทุกข์ขึ้นมาทันที ถ้าไม่ได้ไปสำคัญมั่นหมายอะไรว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเราแล้ว คนนั้นจะไม่มีความทุกข์เลย ฉะนั้นวิธีที่จะไม่เป็นทุกข์เลยนั่นแหละคือหัวใจของพุทธศาสนา
ร่างกาย ชีวิต เงินทองไม่ใช่ของเราแต่เป็นของธรรมชาติ
ต้องพิจารณาดูให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราหรือของเรา เช่นว่า เนื้อหนังร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา โดยธรรมชาติไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของเรา แล้วเราหลงใหลยึดมั่นสำคัญเอาเองว่าเป็นของเรา เราก็มีความลำบากใจ เพราะความยึดมั่นนั้น คือเป็นทุกข์หนักอกหนักใจวิตกกังวล
ชีวิตก็เหมือนกันที่แท้มันเป็นของธรรมชาติ แต่เราคิดว่าเป็นของตัวเรา มันก็มีความหนักอกหนักใจ มีความวิตกกังวล มีความกลัวอยู่ตลอดเวลาว่ามันจะตายบ้าง ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง มีความทุกข์ไปเฉยๆโดยไม่จำเป็น
เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัตินี้ก็เหมือนกัน โดยที่แท้แล้วมันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่ของใคร เราก็ไปปล้นไปโกงเอาของธรรมชาติมาเป็นของเรา มันจึงได้เป็นทุกข์คือหนักอกหนักใจเหมือนกับถูกธรรมชาติตบหน้าเอา ธรรมชาติเป็นเจ้าของแท้จริง เราไปปล้น ไปตู่ ไปแย่งของมันมาเป็นของเรา มันก็ตบหน้าเอาทำให้ผู้นั้นเป็นทุกข์
สบายใจเพราะไม่ยึดอะไร
นี่แหละคิดดูให้ดีๆเถอะว่า ถ้าจิตใจว่างเป็นอิสระ สว่าง สะอาด สงบ ไม่ไปหลงยึดมั่นอะไรมาเป็นของเราแล้วก็จะสบายใจบอกไม่ถูก มีความสบายใจมากบอกไม่ถูก
ยกตัวอย่างเหมือนท่านทั้งหลายเดินทางมาจากเชียงรายมาถึงที่นี่ พอเริ่มออกจากเชียงรายจิตใจก็ค่อยละวางสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในบ้านในเรือน สิ่งต่างๆที่เคยคิดว่าเป็นตัวกูเป็นของกูนั้นมันก็ค่อยเลือนหายไป หายไป หายไป ยิ่งไกลออกมาทางนี้ มาไกลมาทางนี้ มันก็เลือนไปหายไป จนมาถึงที่นี่ มาถึงวัดนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เพราะฉะนั้นท่านจึงรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับอยู่ที่บ้าน เพราะว่านั่งอยู่ที่นี่ เวลานี้ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ลืมหมด แม้แต่ชีวิตก็ลืมไป ไม่ได้นึกถึงว่าเรามีชีวิต แล้วก็ลืมหมดแม้แต่ชีวิต ไม่รู้สึกคิดนึกว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เพราะฉะนั้นจึงสบายใจ ได้รับความสบายใจอย่างยิ่ง อย่างที่ไม่เคยรับมาแต่ก่อนก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่ต้องคิดดูให้ดีว่า ความสุขใจชนิดแท้จริงอย่างยิ่งนั้นมันมีมาต่อเมื่อเราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา พอเรารู้สึกว่ามีอะไรเป็นตัวเราเป็นของเราเท่านั้น ไม่มีความสุขแล้ว ไม่เชื่อท่านบางคนลองคิดถึงบ้านทางเชียงรายนั้นดูว่ามีอะไร เป็นอย่างไร น่าเป็นห่วง น่าวิตกกังวลอย่างไร ท่านก็หมดความสบายใจนั้นทันที มีความทุกข์ทันที นี้ถ้าไม่รู้ ไม่รู้สึก ไม่มีความคิดนึกที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรอยู่ก็สบายใจอย่างยิ่ง เพราะว่าของทั้งหมดที่นี่ เวลานี้ ที่มีอยู่นี้ ไม่มีอะไรเป็นของท่านเลย หัวใจจึงว่าง แม้แต่ชีวิตก็ไม่ได้นึกถึง หัวใจก็ยิ่งว่าง จึงยิ่งมีความรู้สึกเป็นสุขสบาย มีใจสะอาด สว่าง สงบ แล้วท่านทั้งหลายก็ยังสบายดี จะทำอะไรก็ได้ ยังอยากจะทำอะไรก็ได้ จะทำการงานอย่างไรก็สนุกด้วยจิตใจชนิดนี้
เรามีความสุขต่อเมื่อเราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเป็นของเรา
เพราะฉะนั้นควรจะถือเอาประโยชน์อันนี้ให้มาก คือทำความเข้าใจในเรื่องนี้แหละให้มากว่า เรามีความสุขต่อเมื่อ เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเป็นของเรา ขณะที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไรเป็นของเรา ขณะนั้นเรามีความสุขที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อกลับจากนี้กลับไปบ้านก็ขอให้มีจิตใจเปลี่ยนเป็นคนละคน ไปถึงบ้านแล้วก็ทำจิตใจให้เหมือนกับที่ยังอยู่ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็จะมีความสุขในทางจิตใจเหมือนกับนั่งอยู่ที่นี่
ไปถึงบ้านแล้วก็เหมือนกับบ้านของคนอื่น
ทำการทำงานอะไรก็เหมือนกับทำที่บ้านของคนอื่น ทำให้คนอื่น
เราไม่ต้องมีความทุกข์ เรามีความสุขใจอย่างยิ่ง
ถ้าเรากินก็ใช้ไปตามที่เรียกว่าเป็นของคนอื่น คือ เป็นของธรรมชาติ
ให้ทุกอย่างเป็นของธรรมชาติ ไม่ติดสมมติ
ความเข้าใจธรรมะอันสูงสุดนี้มันทำให้เราไม่ยึดถืออะไรๆ ว่าเป็นของเรา คือ เราได้คืนให้ธรรมชาติไปเสียหมด เป็นของธรรมชาติไปเถิด แม้ว่ากฎหมายจะมีว่านี้เป็นของเรา ขนบธรรมเนียมจะมีว่านี้เป็นของเรา หรือตามกฎหมายตามขนบธรรมเนียมประเพณีก็มีอยู่ว่า บ้านหลังนี้ ที่ดินแปลงนี้ เงินนี้เป็นของคนนั้น เป็นของคนนี้ นี้ก็ตามกฎหมาย มันก็ว่าไปตามกฎหมาย ตามสมมติ หัวใจของเราอย่าเป็น หัวใจแท้ๆ ของเราอย่าไปหลงอย่างนั้น ให้รู้ว่าเป็นของธรรมชาติอยู่เสมอ แล้วเราก็จะสบาย พอไปคิดว่าเป็นของเราเท่านั้นแหละ มันก็มีความทุกข์
เช่น วัว ควาย ไร่นา ถ้ามันอยู่ที่นา มันก็อย่างหนึ่ง แต่พอเราคิดว่า วัว ควาย ไร่นาของเรามันก็มาอยู่บนหัวเรา มาอยู่บนศีรษะเรา มาอยู่บนจิตบนใจของเรา วัวควายมันก็เหยียบย่ำจิตใจของเราให้มีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเก็บวัวเก็บควายปล่อยไว้ที่นา อย่าเอามาใส่ยึดมั่นถือมั่นไว้ในใจให้มันเหยียบย่ำหัวใจของเรา หมายความว่าเราพูดว่าของเรา แต่ใจของเราไม่เป็นของเรา ปากเราพูดว่าวัว ควาย ไร่นาของเรา แต่หัวใจของเราไม่รู้สึกว่าเป็นของเรา เราไม่โง่ไม่หลงว่าเป็นของเรา