ชีวิตทั้งจักรวาลตกอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ความรู้สึก
เมื่อจะกล่าวให้ศึกษาง่ายๆ ฟังง่ายๆ จำง่ายๆ ก็ขอให้จำไว้สักประโยคหนึ่งว่า ชีวิตทั้งจักรวาลนั้นตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนา
คือชีวิตนั้นต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเป็นกามก็ได้ เป็นรูปก็ได้ (เช่น วัตถุ) เป็นอรูป (เช่น ความสงบ) ก็ได้
เวทนาเป็นเหตุให้ดิ้นรนไปตามอำนาจของเวทนา บรรดาชีวิตทั้งหลายดิ้นรนไปตามอำนาจของเวทนา การดิ้นรนนั้นเรียกว่าตัณหา
มันต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เวทนาทางรูป ทางนาม ทางอะไรก็ตาม ไม่มีชีวิตไหนที่ไม่ต้องการเวทนาและก็ไม่ดิ้นรนไปตามอำนาจของเวทนา
- เวทนาทำให้คนเที่ยวไปทั่วโลก ทั่วจักรวาล ทั่วภพทุกชนิด ฝรั่งเที่ยวรอบโลกก็เพราะมันต้องการเวทนาอย่างโง่ๆไม่รู้สึกว่าอะไรเป็นเวทนา
- คนโง่คิดว่าเวทนาเป็นนิพพาน นิพพานเป็นเวทนา มันก็ต้องการนิพพาน แม้มันมาบวชอย่างนี้มันก็ต้องการเวทนาที่เร้นลับชนิดหนึ่ง มันจึงมาบวช แล้วมันก็คิดว่าจะได้เวทนานั้นๆ
- การเคลื่อนไหวทั้งหมดมันเป็นไปตามอำนาจของเวทนา รู้จักเวทนาตัวร้ายไว้อย่างนี้แหละ
- ทำบาปก็เพราะเวทนา ทำบุญก็เพราะเวทนา ไม่บุญไม่บาปก็เพราะเวทนา แล้วแต่ว่ามันจะกำลังคิดอย่างไรพอใจในเวทนาชนิดไหน นี่เรียกว่าเวทนาให้เกิดตัณหา แล้วตัณหาก็พาให้เกิดการกระทำ
- เด็กๆ อุตส่าห์เรียนหนังสือ ก็เพราะมันก็ต้องการเวทนา ด้วยความฝันอย่างใดอย่างหนึ่ง
- เรียนหนังสือเสร็จแล้วก็ทำงาน ทำงานๆ ก็ต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
- สมรส มันก็เพื่อต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
- เป็นพ่อบ้านแม่เรือนอยากรวยอยากสวยอยากมีอำนาจ ก็เพราะมันต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
- กระทั่งมันทำบุญทำกุศลก็ต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่รู้ตัวว่าตกใต้อำนาจของเวทนา
ขอให้มองเห็นว่า ชีวิตทั้งจักรวาลกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนา ดิ้นรนไปตามอำนาจของเวทนา พอดิ้นรนก็เรียกว่าตัณหา ชีวิตทั้งหมดตกอยู่ใต้อำนาจของเวทนา ต้องการเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนไหวไปตามอำนาจของเวทนา ฉะนั้น ชีวิตทั้งหลายขึ้นอยู่กับเวทนาอยู่ภายใต้อำนาจของเวทนาอย่างน่ากลัว
เราหวังในเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งตามความรู้สึกคิดนึกของเรา เป็น sub-conscious อยู่โดยไม่รู้สึกตัว ที่เราหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้มันก็เพื่อต้องการเวทนาที่ยิ่งขึ้นไปนั่นเอง จนกระทั่งมันไม่รู้ว่าจะต้องการเวทนาชนิดไหน ไม่มีขอบเขตสำหรับอวิชชาในเวทนาของปุถุชน พระอริยเจ้าครอบงำอำนาจของเวทนาเสียได้โดยเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมดอำนาจของเวทนากำจัดอำนาจของเวทนาเสียได้ก็จะนิพพาน ชนะเวทนาได้นั้นคือนิพพาน
อย่างที่กล่าวแล้วว่าชีวิตทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจของเวทนา ชีวิตระดับต้นไม้นี้มันก็ต้องการเวทนา ชีวิตระดับสัตว์เดรัจฉานนี้มันก็ต้องการเวทนาชีวิตระดับเป็นมนุษย์นี้มันก็ต้องการเวทนา ในชีวิตระดับเทวดา ถ้ามันมีนะ มันก็ต้องการเวทนา ดูสิ สัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่ต่ำที่สุด, มีชีวิตตั้งแต่ต่ำที่สุดจนถึงสูงสุด มันก็ต้องการเวทนา เวทนามันครอบงำจิตใจของสิ่งที่มีชีวิตอยู่ เรียกว่ามันใหญ่โตกี่มากน้อย
ชนะเวทนาคือชนะทุกสิ่ง
ชนะเวทนาได้ก็คือชนะทั้งหมดชนะทุกสิ่ง ท่านทั้งหลายก็ได้ยินข้อความนี้อยู่แล้ว แต่อาจจะไม่เข้าใจ
เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาก็ให้เกิดอุปาทาน อุปาทานก็ให้เกิดความทุกข์นี่เราเนื่องกันอยู่กับเวทนาอย่างที่แยกกันไม่ออก ชนะเวทนาได้ ก็ชนะตัณหาได้ ชนะอุปาทานได้ ชนะความทุกข์ได้ จงรู้จักเวทนาในลักษณะอย่างนี้
เวทนาทำให้เกิดความเห็นแก่ "ตัว"
เวทนานั่นแหละทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว - selfishness ความเห็นแก่ตัวเกิดมาจากเวทนา แล้วก็ได้ทำกรรมทุกชนิดแหละ กุศลกรรม อกุศลกรรม อัพยากตกรรม ทำกรรมทุกชนิดเห็นแก่ตัวแล้วก็ทำให้ตัวเองลำบากเป็นทุกข์ แล้วก็ทำให้ผู้อื่นลำบากและเป็นทุกข์ มันมาจากเวทนา
โง่, โง่ต่อเวทนา ไม่รู้จักเวทนา มันก็หลงใหลไปตามเวทนา มันก็เห็นแก่ตัว
ปัญหาในโลกทั้งโลกทั้งจักรวาลนี้มันมาจากความเห็นแก่ตัว เรารบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาการเมืองไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาเศรษฐกิจไม่มีที่สิ้นสุดก็เพราะว่ามันโง่ต่อเวทนา
เวทนาในแง่บวกคือ positive ก็เห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง เวทนาในแง่ลบคือ negative ก็เห็นแก่ตัวอีกชนิดหนึ่ง
ขึ้นชื่อว่าเวทนาแล้วก็ทำให้เห็นแก่ตัวแม้จะตรงกันข้าม ฉะนั้นเราจึงได้เห็นว่า ผัวรักเมีย แล้วผัวก็ฆ่าเมีย เมียก็ฆ่าผัว พ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่แต่แล้วก็มีลูกที่ฆ่าพ่อแม่ มีพ่อแม่ที่ฆ่าลูก ความหลอกหลอนของเวทนาเป็นปัญหาตลอดเวลาของคนที่โง่ต่อเวทนา ไม่รู้จักเวทนา
ขอให้พวกเราทั้งหลายทุกคนรู้จักเวทนาเสียให้ดีๆ ให้หมดจดให้ครบถ้วนก็จะดับทุกข์ได้ เวทนาทำให้เป็นมิตรเป็นเพื่อนกันก็ได้ เวทนาทำให้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็ได้ ขอให้รู้จักเวทนาไว้ให้ดีๆ
ที่มา: อบรมพระภิกษุสามเณรชาวต่างประเทศ จากวัดป่านานาชาติ โดยท่าน สุเมโธ นำ ปัญหา ถามตอบ