เย็นธรรมวันสงกรานต์

Share

พุทธทาส,

คำว่าสงกรานต์ คำนี้ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่าก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้

อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล

ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้

ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา

วันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์  บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน 

สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา

เล่นสงกรานต์

ถ้าพูดว่าสงกรานต์แล้วก็เป็นกันทุกคน ถ้ายิ่งเล่นสงกรานต์ เช่น สาดน้ำ เป็นต้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเป็นกันทุกคน แต่คิดๆดูเถิดว่า มันเป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด การเล่นสงกรานต์เพียงเท่านั้นมันจะเป็นสงกรานต์ คือเป็นความก้าวหน้าไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่มัวแต่เหลวไหลอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีการก้าวหน้า ถ้าเป็นสงกรานต์จริงๆ มันต้องเป็นการก้าวหน้า คือมีจิตใจที่ก้าวหน้า

ทำบุญในวันสงกรานต์ ถ้าทำตามประเพณีอย่างหลับหูหลับตา มันก็ไม่มีความก้าวหน้า แต่ถ้าหากว่ามีความรู้สึกอย่างแท้จริง จนเป็นผู้ไม่ประมาทตามคำสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความเศร้าสลดใจในความผิดพลาดที่แล้วมาแต่หนหลัง แล้วก็มีความตั้งใจที่จะทำเสียใหม่ให้ถูกต้องต่อไปข้างหน้า คิดบัญชีกันดูปีหนึ่งหนหนึ่ง ปีหนึ่งหนหนึ่งในระยะนี้ซึ่งเรียกว่าวันสงกรานต์ ก็จะเป็นการดี คือจะเป็นสงกรานต์จริงๆ

การที่จะไปเล่นสาดน้ำกัน เอาวัวเอาควายมาชนกัน มาเล่นการพนันกัน อย่างนี้เป็นต้นนั้น มันเป็นสงกรานต์ของคนโง่ อย่างดีที่สุดก็จะเป็นสงกรานต์ของเด็กอมมือหรือเด็กเล็กๆที่ยังไม่รู้อะไร

ความก้าวหน้า

ความก้าวหน้าอย่างสมัยใหม่ที่เขาเรียกกันว่าความก้าวหน้านี่แหละ จะนำโลกนี้ไปสู่ความยุ่งยาก สับสน ซับซ้อน ลึกลับยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งเจริญหรูหราทางวัตถุมากเข้าเท่าไร ก็ยิ่งมีความยุ่งยากลำบากซับซ้อน คับแคบในทางจิตใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อดูด้วยสายตาของพุทธบริษัทแล้ว โลกนี้มันกำลังถอยหลัง ไม่ใช่กำลังก้าวไปข้างหน้าเหมือนสายตาของคนโง่คนเขลาที่เห็นแต่วัตถุอย่างเดียว โลกนี้มีความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา ทางหูมากขึ้นจริง มากมายเหลือที่จะกล่าวได้จริง แต่ทางจิตใจนั้นมันถอยหลัง

สำหรับความก้าวหน้าทางวัตถุของพุทธบริษัทนั้น เขาไม่ได้ตะกละตะกลาม ไม่ละโมบโลภลาภ เหมือนคนทาง ที่ก้าวหน้าทางวัตถุเขามุ่งหมายกัน เพราะเขาถือว่าวัตถุนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับให้ชีวิตตั้งอยู่ได้ เพื่อมีความก้าวหน้าทางจิตใจต่อไป วัตถุที่มุ่งหมายนั้นคือความสูงของจิตใจ

เมื่อได้ความสูงของจิตใจแล้ว ก็เรียกว่าได้ทั้งหมด เรื่องทางวัตถุนั้นเป็นเรื่องอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆสำหรับร่างกายเป็นอยู่พอสะดวกสบาย สำหรับมีจิตใจที่มีสมรรถภาพ เมื่อจิตใจมีสมรรถภาพ ทำหน้าที่ของจิตใจได้ดี ได้รับผลทางจิตใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องสิ้นสุดกัน จะไปมัวยุ่งยากลำบากด้วยเรื่องวัตถุให้มากมายทำไมกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของคนโง่ ลำบากโดยไม่จำเป็น

เมื่อไม่ต้องการความมัวเมา ก็ต้องการความสงบสุขที่ถูกต้องแท้จริง ไม่จำเป็นจะต้องมีวัตถุมากมาย

ถ้าคนนิยมความก้าวหน้าในทางจิตใจแล้ว โลกนี้ก็จะมีอะไรๆให้อย่างเหลือเฟือ แต่ถ้าว่าคนไปนิยมความก้าวหน้าทางวัตถุแล้ว โลกนี้ก็ไม่มีอะไรให้ที่เพียงพอ จะต้องหวั่นวิตกกังวลว่าอะไรๆก็จะต้องขาดแคลน และกำลังขาดแคลนลงอยู่เสมอไป เพราะเอาไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายในทางบำรุงบำเรอเกินกว่าที่จำเป็น ไม่ได้ใช้ไปอย่างที่จำเป็น

ความสุกร้อน หรือ ความสุขเย็น

ความสุขมีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือสุกร้อนที่เผาคนให้สุก และสุขเย็นที่ทำคนให้เย็น ถ้าใครเกิดไปเข้าใจผิดในระหว่างความสุข ๒ อย่างนี้แล้ว คนนั้นแหละจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด จะมีการกระทำชนิดที่เชือดคอตัวเอง หรือว่าขุดหลุมฝังตัวเอง

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจผิดในเรื่องการทำความสงบสุข เข้าใจความความสุขผิดอย่างตรงกันข้าม เขาต้องการความสุขที่ร้อน ไม่ต้องการความสุขที่เย็น เพราะว่าความสุขที่ร้อนนั้นเอร็ดอร่อย ยั่วยวนกว่าความสุขที่เย็น ความสุขที่เย็นนี้เข้าใจยาก ชิมได้ยาก พอใจได้ยาก เพราะมันเย็น

ความสุขร้อนนั้นมันเป็นสิ่งที่ยั่วยวนไปทุกสิ่งทุกอย่าง ความสุขร้อนคือเรื่องทางวัตถุ หรือเรื่องทางโลกๆ ทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไปเกี่ยวข้องเข้าก็รู้สึกว่ามีรสชาติดี พอเรียกกันว่าเป็นความสุข แต่มันเป็นสุกร้อน สุกที่สะกดด้วยตัว ก. สุกร้อน มันเผาให้ร้อนและมันเผาให้สุก คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเลยกลายเป็นคนสุก คือถูกเผาให้สุก ส่วนความสุขเย็นเป็นความสุขทางจิตใจ หรือทางนามธรรมนั้น ไม่ร้อน ไม่เผา ใครมีอย่างถูกต้องแล้วก็เย็น

เรียบเรียงจาก เทศน์วันสงกรานต์