คุณแม่คนหนึ่ง มีลูกชายอายุ 3 ขวบ วันหนึ่งคุณแม่ให้ลูกชายวัย 3 ขวบเปิดตู้เย็น ไปหยิบขวดนมมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร แต่ว่าขวดใส่นมเป็นขวดใหญ่ มือของเด็กยังเป็นมือน้อยๆ พอเด็กชายหยิบขวดนม ปรากฏว่าหยิบจับไม่ถนัด ขวดนมก็ตกจากมือ นมก็หกนองพื้นเลย ยังดีที่ขวดนมไม่แตก เด็กเห็นก็ใจเสียเลย สักพักแม่เดินเข้ามาเพราะว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
พอแม่เห็นนมหกเลอะเทอะนองพื้น แทนที่แม่จะตกใจ แทนที่แม่จะไม่พอใจ แล้วก็ตำหนิลูก สั่งสอนลูก หรือว่าเทศนาอบรม หรือลงโทษลูก แม่กลับบอกว่า โอ้โฮ ไม่เคยเห็นทะเลสีขาวนองพื้นเลย ไม่เป็นไรนะ ไหนๆ หนูก็ทำนมหกแล้ว เรามาสนุกกับทะเลสีขาวดีกว่า แล้วก็ชวนลูกลองสัมผัสกับน้ำนมที่นองพื้น เด็กก็เล่นกับนมที่นองพื้นอย่างมีความสุขสนุกสนาน สักพักแม่ก็มานั่งอยู่ข้างๆ ลูก แล้วก็บอกลูกว่า ลูกรู้ไหม เมื่อลูกทำของหก ลูกก็ต้องรู้จักทำความสะอาดนะ เรามาช่วยกันทำความสะอาดกันดีไหม ลูกอยากจะทำความสะอาดยังไง ใช้ผ้าเช็ด หรือใช้ม็อบ ลูกบอกใช้ม็อบดีกว่า แม่ก็ให้ลูกไปหยิบม็อบมา แล้วก็กวาดทำความสะอาด จนกระทั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม ช่วยกันทั้งแม่ทั้งลูก ลูกก็สนุกกับการกวาด เช็ด ทำความสะอาดพื้น
แล้วแม่ก็พูดกับลูกว่า รู้ไหมที่ลูกทำนมหก มันเป็นเพราะว่าขวดนมเป็นขวดใหญ่ แต่มือหนูเป็นมือเล็กๆ หนูไปจับขวดนมตรงกลางขวด จับไม่ถนัด มันก็เลยหลุดจากมือ ตอนนี้เรามาลองดูซิว่า ทำอย่างไรถึงจะจับขวดนมได้โดยที่ไม่หลุดจากมือ เดี๋ยวแม่จะเอาขวดนมขวดเดิมนี่แหละ แล้วไปทีหลังบ้านกัน แม่ก็เติมน้ำเปล่าลงในขวดนมขวดนี้แหละ ลูกลองจับลองถือดูนะว่า ลูกจะทำอย่างไรมันถึงจะไม่หลุดจากมือ
เด็กก็ลองทำดู เด็กก็พบว่า ถ้าจับตรงคอขวด มันก็จะกระชับมือ ไม่หลุดจากมือง่ายๆ เด็กค้นพบแล้ว ถ้าจะจับขวดนมจากตู้เย็น จะทำอย่างไรให้ไม่หลุดจากมือ น้ำนมก็ไม่นองพื้น เด็กคนนี้ภายหลังกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
เขาบอกว่าเหตุการณ์วันนั้น วันที่เขาทำขวดนมหลุดจากมือ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากเลย เพราะว่าแม้มันจะเป็นความผิดพลาด แต่แม่ก็ทำให้เขาเห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว แม่สอนให้เขารู้จักหาบทเรียน ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้น แล้วทำให้เขารู้จักใคร่ครวญ ไม่ใช่แค่ระมัดระวัง แต่รู้จักไตร่ตรอง หาหนทางแก้ไขความผิดพลาด
ถ้าเราลองสังเกตสิ่งที่คุณแม่ท่านนี้ทำ มันน่าสนใจมาก ทำให้ลูกได้เรียนรู้หลายประการ
1. คุณแม่รู้จักสอนให้ลูกหาประโยชน์จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น น้ำนมมันนองพื้นแล้ว แต่ว่าแม่ก็ชวนให้ลูกลองเล่นสนุกกับน้ำนมดู เหมือนกับเป็นทะเลสีขาว มันเลอะเทอะก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นของเล่นได้เหมือนกัน นี่เรียกว่าหาประโยชน์จากความผิดพลาด
2. แม่สอนลูกว่า เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ลูกต้องรับผิดชอบ รับผิดชอบอย่างไร น้ำนมมันหกเลอะเทอะพื้นแล้ว ก็ต้องทำความสะอาด แทนที่แม่จะทำให้ลูก แม่กลับแนะนำว่า ให้ลูกได้ลงมือทำความสะอาดที่เกิดจากการทำขวดนมห
3. แม่ได้สอนลูกว่า ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นตรงไหน เช่น ที่หนูจับขวดนมแล้วมันหลุดมือเพราะไปจับกลางขวด นี่คือสาเหตุแห่งความผิดพลาด
4. แม่สอนลูกว่า ทำอย่างไรเราจะแก้ไขความผิดพลาดได้ ก็คือแทนที่จะมาจับกลางขวด ก็จับตรงคอขวด มันเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจเด็กชายมาก เพราะว่าสิ่งที่แม่ทำคือ แม่สอนให้เด็กได้เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ความผิดพลาดนี้ไม่มีใครชอบ แต่ว่าแม่ก็สามารถที่จะใช้ความผิดพลาดที่เกิดจากลูก ที่เกิดจากความไม่รู้ของลูกให้เป็นประโยชน์ ทำให้ลูกเกิดความรู้ ทำให้ลูกเกิดประสบการณ์ ทำให้ลูกเกิดความเข้าใจ และสิ่งที่น่าสนใจคือ แม่ไม่ได้บอกคำตอบให้ลูก แต่แม่ให้ลูกคิดเอง เช่น ตอนทำความสะอาด แม่ก็ถามลูกว่า จะทำความสะอาดอย่างไร จะใช้ผ้าหรือจะใช้ม็อบ ลูกบอกใช้ม็อบครับ แล้วตอนที่ให้ลูกลองค้นหาวิธีการที่จะถือขวดนมโดยที่ไม่หล่นจากมือ คำตอบนี่แม่รู้อยู่แล้ว แต่แม่ไม่บอก แม่ก็ให้ลูกลองทำดู ทำอย่างไร เอาน้ำเปล่าใส่ในขวดนม แล้วลองถือดู จับตรงไหนถือตรงไหน มันจึงจะกระชับ ไม่หลุดจากมือ แล้วเด็กก็พบว่า ก็จับตรงคอขวด มันก็จะกระชับแน่น เพราะมือเด็กยังน้อยๆ อยู่
อันนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เด็กได้เรียนรู้ และทำให้เขากลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อ อันนี้ก็ต้องถือว่าเป็นปัญญาของผู้เป็นแม่ ที่รู้จักหาบทเรียนมาสอนลูก เป็นบทเรียนที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย
ลองนึกว่าถ้าแม่โวยวาย ตีโพยตีพายใส่ลูกหรือลงโทษลูก ลูกจะรู้สึกอย่างไร ลูกจะไม่กล้าทำอะไรผิดเลย ลูกจะไม่กล้าไปหยิบขวดนมจากตู้เย็นอีกเลย แล้วลูกจะกลัวความผิดพลาด คนเราพอกลัวความผิดพลาด เราจะพยายามหลีกหนีการทำอะไรทุกอย่างที่มันเสี่ยงต่อความผิดพลาด ซึ่งในโลกนี้ไม่มี ทำอะไรทุกอย่าง มันย่อมมีโอกาสที่จะผิดพลาด
คนเราถ้ากลัวความผิดพลาดแล้ว มันก็จะหลีกเลี่ยง กลายเป็นคนไม่กล้าทำอะไรเลย แล้วชีวิตที่ไม่กล้าทำอะไรเลยเพราะกลัวความเสี่ยง เป็นชีวิตที่เสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะว่ามีโอกาสที่จะล้มเหลว มีโอกาสที่จะไม่สามารถค้นพบศักยภาพในตัวเองได้
จะว่าไปแล้ว สิ่งที่แม่สอนลูกทั้ง 4 ประการ ไม่ใช่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับลูกสำหรับเด็กเท่านั้น มันเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนทุกคน รวมทั้งผู้ที่เป็นพ่อแม่ด้วย เพราะว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่
แล้วถ้าเราขยายบทเรียนจากความผิดพลาด กลายเป็นความทุกข์ หรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เราก็จะพบว่า การรู้จักหาประโยชน์จากความทุกข์ จากเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา มันเป็นสิ่งสำคัญ ทำงานแล้วล้มเหลว ก็ไม่ใช่สิ่งเสียหาย มันมีประโยชน์ ทุกครั้งที่ล้มเหลว ทุกครั้งที่ไม่ประสบผล ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากมัน เราจะได้ความรู้ เราจะได้ประสบการณ์