เมื่อวานมีการเลือกตั้งทั่วประเทศซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้คนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
คนที่ไปหย่อนบัตรเลือกตั้งเมื่อวานนี้ เรียกว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เกือบ 80% ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งก็ออกมาแล้ว
อาจจะไม่ถึงกับร้อยเปอร์เซ็นต์ พอผลการเลือกตั้งออกมา
ก็มีทั้งคนดีใจและคนเสียใจ
ดีใจเพราะว่าผลออกมาอย่างที่ตัวเองคาดหวังหรือปรารถนา
หลายคนก็บอกว่ารอวันนี้มานานแล้ว
ส่วนคนที่เสียใจก็เพราะว่าผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปอย่างที่คิดหรือปรารถนา
ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจ
ก็ต้องรู้จักวางใจให้เป็น ดีใจก็อย่าไปดีใจจนสุดๆ
เพราะว่ามันเป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าวชั่วคราว ความดีใจก็ไม่เคยยั่งยืน
ถ้าดีใจมาก ก็อาจจะเสียใจมากในเวลาต่อมา
เมื่อผลที่ตามมาไม่เป็นไปตามอย่างที่คิด เพราะว่าคนเราเวลาดีใจ
เมื่อสมหวังแล้วก็จะคิดปรุงแต่งไปต่างๆ นานา มีความคาดหวังในสิ่งต่างๆ
มากขึ้น แล้วพอไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังก็ย่อมเสียใจ
เหมือนคนที่สมหวังดีใจในรัก แต่พอดีใจมากๆ ถึงเวลาผิดหวังก็เสียใจ
เรียกว่าจนจิตดำดิ่งสู่ความทุกข์ ยิ่งดีใจมาก ถึงเวลาเสียใจก็เสียใจสุดๆ
เหมือนกัน นี่เป็นธรรมดาโลก
ส่วนคนที่เสียใจก็อย่าไปตีอกชกหัวมากเกินไป
รู้จักยอมรับว่าความจริงมันก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราปรารถนาเสมอไป
อย่าไปมองหาความผิดจากโลกหรือจากสิ่งต่างๆ โลกไม่ได้ผิดที่สิ่งต่างๆ
ไม่ได้เป็นไปตามใจเรา
แต่เป็นเพราะเราวางใจผิดต่างหากที่คาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่ใจปรารถนาเสมอไป
ยิ่งคาดหวัง ยึดมั่น หรือปรารถนามากเท่าไหร่
พอไม่ได้เป็นไปอย่างที่ปรารถนา ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
ความทุกข์จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับระดับของความปรารถนาหรือความอยาก
ยิ่งปรารถนามากยึดมั่นมาก พอไม่เป็นไปอย่างที่เราปรารถนาหรือยึดอยาก
ก็ลงเอยด้วยความทุกข์
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์
ไม่ว่าสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นอะไร เล็กหรือใหญ่ แต่ถ้าปรารถนามากก็ทุกข์มาก
แต่ว่าถ้าปรารถนาอยากให้อะไรต่ออะไรเป็นไปตามใจเราทุกอย่าง ชีวิตหรือความเป็นจริงของโลกนี้ไม่สมหวังเราตลอดเวลา นี่คือความจริงที่เราต้องเรียนรู้และยอมรับ เพราะถ้าไม่ยอมรับ
ตีอกชกหัว กราดเกรี้ยว โวยวาย ตีโพยตีพาย ก็เท่ากับสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง
ก็อาศัยสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละมาเป็นเครื่องสอนใจเตือนใจ
ดีใจก็อย่าดีใจสุดๆ เสียใจก็ให้รู้จักยอมรับ ไม่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย
ที่จริงช่วงเดือนที่ผ่านมา
ผู้คนเรียกว่าทั้งประเทศก็ว่าได้ ต่างหมกหมุ่นครุ่นคิดว่า
จะเลือกใครเลือกพรรคไหน ตัวเองเลือกไม่พอ
ก็ไปขวนขวายให้คนอื่นเลือกอย่างที่ตัวเองต้องการ
หรืออยากจะรู้ว่าเขาเลือกอะไรเลือกใคร
มันเป็นช่วงเดือนแห่งการหมกมุ่นอยู่กับการเลือกผู้แทนที่คิดว่าใช่
จนบางทีเราลืมไปว่า มันมีสิ่งอื่นที่เราควรจะให้เวลาในการเลือกมากกว่า
เดี๋ยวนี้สมัยนี้มีอะไรต่ออะไรชักชวนให้เราเลือกนั่นเลือกนี่มากมาย
ไม่ใช่แค่เลือกผู้แทน แต่เลือกช็อปเลือกซื้อสิ่งโน้นสิ่งนี้
มีอะไรให้เลือกมากมาย
ไม่มียุคใดที่ผู้คนจะวุ่นวายอยู่กับการเลือกอะไรต่ออะไรสารพัด
ทั้งอาหารการกิน สิ่งเสพ เสื้อผ้าหน้าผม สถานที่ท่องเที่ยว
แม้กระทั่งเลือกสถานที่เรียน ที่ทำงาน
เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ของผู้คน
จนลืมไปว่ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าที่เราควรจะใส่ใจในการเลือก
แต่ว่าเป็นเพราะเราไปหมกมุ่นสาละวนอยู่กับการเลือกอะไรต่ออะไรมากมาย
ทั้งเลือกผู้แทนรัฐบาล ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าหน้าผม
มีอะไรให้เลือกเต็มไปหมด
จนเราลืมไปว่ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่เราควรจะใส่ใจในการครุ่นคิดว่าจะเลือกอะไร
สิ่งหนึ่งก็คือเราจะเลือกชีวิตของเราอย่างไร
จะเลือกชีวิตที่ใช่ในแบบของเรา
หรือชีวิตที่ไหลไปตามกระแส
กระแสสังคมหรือว่าเสียงชักชวนของคนรอบข้าง
เราจะเลือกชีวิตที่ใช่ในแบบของเราหรือชีวิตที่ไหลไปตามกระแส
แล้วพอไม่ได้เลือก ก็มักจะลงเอยที่ไหลไปตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน
เรื่องกิน เรื่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งเลือกคนรัก งานการต่างๆ
แล้วสุดท้ายก็ไหลไปตามกระแสบริโภคนิยม หรือไหลไปตามกระแสของการปลูกปั่น ไม่ใช่แค่เรื่องกิน กาม เกลียด แต่รวมถึงเรื่องโกรธ เกลียด กลัว และกลุ้ม ความจริงแล้วเลือกได้นะ แต่คนไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่
และถึงแม้ว่าจะเลือกชีวิตที่ใช่ในแบบของเรา หลายคนก็ไม่ได้เลือกหรือใส่ใจว่าเราจะเลือกวิถีของใจแบบไหน
หรือจะเรียกว่าเป็นนิสัยของจิตก็ได้ รู้ว่าชีวิตที่ใช่ในแบบของเราคืออะไร
แต่ว่าก็ไม่ได้ใคร่ครวญต่อไปว่า ชีวิตที่ใช่แบบนั้น เราอยากจะมีจิตใจแบบไหน
จะเรียกว่านิสัยของจิตหรือจิตนิสัยก็ได้ เช่น ใจที่ชอบเพิ่มสุขหรือว่าเติมทุกข์
เราจะเติมสุขให้ใจหรือเราจะเพิ่มทุกข์ให้ใจ เป็นสิ่งที่เลือกได้
แต่หลายคนไม่ได้คิดที่จะเลือกจริงจังเท่าไหร่ มันเป็นสิ่งที่เลือกได้
เราจะเติมสุขให้ใจหรือเราจะเพิ่มทุกข์ให้ใจ ซึ่งก็โยงไปถึงว่า
เราเลือกได้ว่าจะคิดบวกหรือคิดลบ มองบวกหรือมองลบ
ถ้าเรารู้จักมองบวกหรือเราเลือกที่จะมองบวก มันก็สามารถเติมสุขให้ใจ
แต่ถ้าเราเลือกมองลบ มันก็เพิ่มทุกข์ให้ใจ
มองบวกหรือมองลบก็เลือกได้นะ มองบวกไม่ได้หมายความว่า
ฝันหวาน ฝันกลางวัน หรือวาดภาพที่สวยสดงดงามของอนาคต
แต่หมายถึงการรู้จักมองสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ให้เห็นสิ่งที่ช่วยเติมสุขให้ใจ รู้จักชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่
รู้จักขอบคุณสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
หรือรู้จักเห็นด้านดีของสิ่งต่างๆ รวมทั้งประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
นี่คือสิ่งที่เลือกได้ เช่นเดียวกัน เลือกที่จะมองลบ เห็นแต่ข้อเสีย
เห็นแต่ด้านลบด้านร้ายของผู้คนที่อยู่รอบตัว ประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามา
มันก็ทำได้เหมือนกัน แล้วถ้าเราเลือกที่จะเติมสุขให้ใจ
ไม่ใช่แค่มองบวก แต่ต้องรู้จัก รู้ทันความคิดและอารมณ์ด้วย
นี่ก็เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ รู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น
หรือจะไหลไปตามความคิดและอารมณ์ที่ผุดเข้ามา
นี่คือสิ่งที่เราเลือกได้
แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่ามันเลือกได้ หรือไม่คิดว่ามันทำได้ด้วยซ้ำ
การที่เราจะรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ พอไม่รู้ว่ามีทางเลือกสายนี้
ก็เลยกลายเป็นว่า ปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิดและอารมณ์ สุดแท้แต่จะคิดอะไร
อารมณ์ใดจะพาไปก็ไหลไป บางทีก็ฝันกลางวัน บางทีก็ใจลอย
บางทีก็จมดิ่งอยู่กับความเศร้า ความเจ็บปวด
หรือประสบการณ์ความทรงจำที่เลวร้าย เอาแต่จมดิ่งอยู่กับ
ความคิดและอารมณ์เหล่านั้น นี่ก็เพราะไม่เลือกที่จะรู้ทันความคิดและอารมณ์
หรือรู้ว่ามันเลือกได้
ถ้าเราจริงจังกับชีวิต
เราปรารถนาชีวิตที่ใช่ในแบบของเรา
ก็ต้องรู้จักเลือกว่าเราจะรักษาใจให้ปกติเมื่อมีอะไรมากระทบ
หรือว่าปล่อยใจให้กระเพื่อมขึ้นลง สุดแท้แต่ว่าเจออะไรมากระทบ
ได้รับคำชมก็ปล่อย ใจลอย ลิงโลด พอถูกตำหนิวิจารณ์ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
หรือเกิดความแค้นเคือง เวลาเจออะไรที่สมหวังก็ดีใจสุดๆ
แต่พอเจออะไรที่ไม่สมหวัง ก็เศร้าโศกเสียใจ โวยวาย ตีโพยตีพาย
แทนที่จะเลือกรักษา ใจให้ปกติไม่ว่ามีอะไรมากระทบ บวกหรือลบ ดีหรือร้าย
ใจก็ตั้งมั่นเป็นปกติได้ นี่คือสิ่งที่เลือกได้ แต่คนก็ไม่ค่อยเลือกกัน
ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้
เวลามีความไม่สมหวัง ไม่ถูกใจเกิดขึ้น
เราเลือกได้ว่าจะโกรธ โวยวาย ตีโพยตีพาย หรือจะนิ่งสงบ
สงบเพราะเห็นว่าเป็นธรรมดา หรือนิ่งเพราะยอมรับได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
หรือยอมรับได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ทำอะไรไม่ได้ โวยวาย
ตีโพยตีพายก็มีแต่จะเติมทุกข์ให้ใจ อย่างน้อยๆ ถ้ารู้จักยอมรับมันได้
มันก็ไม่ซ้ำเติมตัวเองให้มากไปกว่านั้น
นี่คือสิ่งที่เลือกได้แต่คนไม่ค่อยเลือก
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราเลือกได้ว่า
เมื่อเจอความผันผวนปวนแปรในชีวิต หรือในการงาน ในความสัมพันธ์
หรือว่ามีความผันผวนปรวนแปรเกิดขึ้นกับทรัพย์สินเงินทองของเรา
เรียกว่าเกิดทุกข์ขึ้นมา เราจะเป็นทุกข์หรือเราจะรู้ทุกข์ นี่ก็เลือกได้
จะเป็นทุกข์หรือรู้ทุกข์ หรือว่าจะเป็นทุกข์นั่นก็อันหนึ่ง หรือจะเห็นทุกข์
แล้วจิตไม่เป็นทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่คือทางเลือกของใจเรา ซึ่งจะนำไปสู่คำตอบว่าชีวิตที่ใช่ของเรา จะเป็นชีวิตที่พาเราไปสู่ความปกติสุข หรือว่าจะพาเราไหลไปตามกระแสของโลก ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไหลไปจนได้ ขึ้นลงหรือว่าสุขทุกข์ไปตามสิ่งที่มากระทบ หาความสงบเย็นไม่ได้เลย
นี่คือทางเลือกของใจเราที่เป็นไปได้
แต่ว่าเราไม่ค่อยเลือกกันเท่าไหร่ เรามัวแต่ไปเลือกโน่นเลือกนี่
ไปหมกมุ่นกับการเลือกอะไรต่ออะไรมากมาย ซึ่งก็สำคัญ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญกว่า
คือการเลือกอย่างที่ว่า ซึ่งสรุปง่ายๆ คือว่า
เราจะเติมสุขให้ใจหรือเราจะเพิ่มทุกข์ให้ใจ
เราจะมีชีวิตที่พาไปสู่ความทุกข์ หรือมีชีวิตที่พาไปสู่ความไม่ทุกข์
สุดท้ายเราก็เลือกได้ระหว่างชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยความหลง หรือว่าชีวิตที่เป็นไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว
แต่คราวนี้พอเราเลือกหรือรู้ว่าจะเลือกอะไรแล้ว
ยังไม่พอ ยังต้องลงมือทำอย่างที่เลือกด้วย
ก็เหมือนกับเราตัดสินใจเลือกนักการเมือง เลือกพรรคแล้ว ยังไม่พอ
เราต้องเดินไปคูหาเลือกตั้ง บางทีต้องขับรถไป เลือกในใจไม่ได้
ต้องมีการกระทำ มีการลงไม้ลงมือ การเลือกถึงจะสัมฤทธิ์ผล
สัมฤทธิ์ผลก็ไม่ได้ หมายความว่าจะเป็นไปอย่างที่เราปรารถนาเสมอไป
แต่อย่างน้อย เมื่อเราตัดสินใจเลือกไปคูหาเลือกตั้งแล้วหย่อนบัตร
อย่างน้อยคนที่เราเลือกก็ได้ 1 คะแนน
ฉันได้ก็ฉันนั้น เมื่อเราเลือกว่าจะเติมสุขให้ใจ
ไม่เพิ่มทุกข์ให้ใจ เราเลือกที่จะมองบวกไม่มองลบ
เลือกที่จะรู้ทันความคิดและอารมณ์ ไม่ใช่ไหลไปตามความคิดและอารมณ์
เลือกที่จะเห็นทุกข์รู้ทุกข์ ไม่ใช่เป็นทุกข์ ก็ต้องลงมือทำ
ลงมือทำก็คือฝึกให้คิดบวกเป็นต้น หรือฝึกให้รู้ทันความคิด
ด้วยการหมั่นมามองจิตมองใจ สังเกตความคิดและอารมณ์ของตัว
แล้วก็รู้จักเฝ้าสังเกตเวลามีอะไรมากระทบ สมหวังไม่ สมหวัง ถูกใจไม่ถูกใจ
ถูกใจก็ไม่ใช่เอาแต่ดีใจ ลิงโลด พอไม่ถูกใจก็เอาแต่ตีอกชกหัว
มันต้องกลับมาดูใจ เห็นความดีใจที่เกิดขึ้น เห็นความเสียใจ
ความไม่พอใจที่เกิดขึ้น กลับมาดูใจของตัวเอ งไม่ใช่ปล่อยใจไปตามอารมณ์
หรือตามสิ่งที่มากระทบจากภายนอก
การลงมือทำตามที่เลือกนี่สำคัญนะ
เพราะถ้าเราอยากหรือเลือกแล้วแต่ไม่ลงมือทำ ปล่อยใจไปตามอารมณ์
ปล่อยใจไปตามกระแส สุดท้ายเราจะไม่มีสิทธิ์เลือก
เพราะว่าความคิดและอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งกิเลส ความยึดความอยาก
รวมไปถึงความทุกข์ด้วยนะ ความโกรธ มันจะมีกำลังจนครอบงำจิต
มีอำนาจเหนือจิตใจของเรา และถ้าปล่อยให้มันครอบงำใจ
ถึงจุดหนึ่งเราเลือกไม่ได้เลย เราจะตกอยู่ในอำนาจของมัน
อยากจะมองบวกแต่มองไม่ได้สักที เพราะมีแต่คิดลบเห็นลบ
อยากจะรู้ทันความคิดอารมณ์จนเป็นอิสระจากความคิดและอารมณ์
แต่คิดทีไรหรือความคิดเกิดขึ้นทีไร มันเล่นงานจิตใจจนหมดเนื้อหมดตัว
อยากจะรู้ทันความโกรธแต่สุดท้ายความโกรธมันครอบงำจิต กลายเป็นคนมักโกรธ
เป็นคนเจ้าอารมณ์ เป็นคนขี้หงุดหงิด
มีคนจำนวนไม่น้อยเวลาที่ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามอารมณ์
ไปตามสิ่งกระทบแล้ว ถึงเวลาจะเลือกก็เลือกไม่ได้แล้ว
เพราะตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์พวกนี้ เราจะเห็นคนแก่หลายคนหงุดหงิด
เจ้าอารมณ์ ขี้วิตกกังวล บางคนก็รู้ว่าไม่ดี แต่ว่าหักห้ามใจไม่ได้
เพราะถูกมันครอบงำเสียแล้ว บางคนก็ถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า
จะพยายามสลัดจิตให้ออกจากอารมณ์พวกนี้ ก็ไม่สำเร็จ บางคนพอถึงเวลาจะตาย
ความคิดต่างๆ จู่โจม ทำให้เกิดความวิตกกังวล เกิดความแค้น เกิดความโกรธ
เกิดความพยาบาท แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะมันได้
บางคนห่วงทรัพย์
ตอนที่มีเวลาที่จะเลือกเป็นนายของทรัพย์ ก็ไม่ยอมเลือก
ปล่อยให้ทรัพย์มาเป็นนาย พอถึงเวลาแก่ตัวลง คิดแต่เรื่องเงินเรื่องทอง
แม้กระทั่งบางคนเป็นอัลไซเมอร์แล้ว แต่ก็ยังห่วงเงินห่วงทอง
ห่วงทรัพย์สมบัติ เป็นทุกข์ที่คนบางคนเป็นหนี้ไม่ยอมจ่าย ลืมลูกลืมหลาน
แต่ว่าไม่ลืมลูกหนี้ ก็เลยกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์
เอาเข้าจริงๆ เราก็เลือกได้ว่า
จะเป็นคนแก่ที่อารมณ์เย็น ผ่อนคลาย รู้จักปล่อยวาง
หรือเป็นคนแก่ที่เอาแต่หงุดหงิดหัวเสีย เจ้าอารมณ์ ขี้บ่น หรือว่าซึมเศร้า
สุดท้ายเราเลือกได้แม้กระทั่งว่า เมื่อถึงวาระสุดท้าย เราจะตายแบบไหน
ตายด้วยใจสงบ หรือตายด้วยความทุรนทุราย เพราะปล่อยวางอะไรต่ออะไรก็ไม่ได้
เพราะมีความรู้สึกผิดติดค้างใจ เพราะมีความโกรธเกรี้ยว คับแค้นพยาบาท
หลายคนอย่าว่าแต่ระยะสุดท้ายเลย
ที่จริงไม่ต้องรอให้แก่ก็ได้ บางคนพอถึงวัยกลางคน
จิตใจจมดิ่งอยู่ในความทุกข์มาก
ถูกอารมณ์จู่โจมหรือว่าครอบงำจิตชนิดที่ไม่สามารถจะถอนใจออกจากอารมณ์พวกนี้ได้
เพราะเขาไม่ยอมที่จะเลือกว่า จะมีชีวิตที่เป็นอิสระจากอารมณ์นี้หรือเปล่า
หรือว่าเลือกว่าเมื่อมีสิ่งที่ไม่ถูกอกถูกใจ เราจะไม่โกรธไม่โมโห
แต่เราจะตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เป็นเพราะไม่เลือกในขณะที่มีเวลา
พอปล่อยเวลาผ่านเลยไปๆ ก็กลายเป็นว่าถูกอารมณ์พวกนี้ครอบงำ
จนกระทั่งไม่มีสิทธิ์เลือก แล้วก็อยู่แบบทุกข์ทรมา นอยู่ด้วยความร้อนรุ่ม
แล้วก็ตายด้วยใจที่ไม่สงบ
อันนี้เห็นเยอะมาก
เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักเลือกในสิ่งที่สำคัญ ในขณะที่ยังมีเวลา
หรือถึงเลือก หรือถึงรู้ว่าอยากจะมีชีวิตจิตใจ อารมณ์แบบไหน
แต่ไม่ลงมือทำอย่างที่เลือก ก็มีผลเหมือนกัน คือสุดท้ายก็เลือกไม่ได้
ปล่อยให้อารมณ์และความทุกข์มาเป็นนาย ซึ่งก็นับว่าน่าเสียดายมาก
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2566