มองบวก มองอย่างไร มองได้หลายแง่ อาตมาเคยพาคนไปเยี่ยมผู้ป่วย ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ก็ไม่เชิงเป็นโรงพยาบาล เขาพักรักษาตัวที่วัด แต่พอได้เวลาก็ไปโรงพยาบาลที่หาดใหญ่ จิตอาสาคนหนึ่งไปเจอเด็กอายุ 14 ผมร่วงหมดเลย เพราะเธอเป็นมะเร็งสมอง แต่เธอยิ้มแย้มแจ่มใส เธอชวนจิตอาสาวาดรูป ทั้งสองคนชอบวาดรูป มะเร็งปากก็ชอบวาดรูป เป็นมะเร็งสมอง การวาดรูปก็เป็นการผ่อนคลาย คุยไปคุยมา เธอก็บอกว่า หนูโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งมดลูก ญาติคนหนึ่งเป็นมะเร็งมดลูก ปวดมากเลย หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง เธอพูดอย่างนี้ หนูโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง คือ มองบวก มองว่าอะไรเกิดขึ้นกับเราก็ดีทั้งนั้น อย่างน้อยก็ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้
เวลาเจอทุกข์อะไรขึ้นมา เราเติมคำว่า "แค่" ลงไปช่วยได้เยอะ โชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง ขณะที่บางคนมีแค่มีสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลาย นอนไม่หลับ เพราะยอมรับไม่ได้ หรือเพราะเห็นแต่สิว ไม่ได้เห็นอย่างอื่น มองบวกความหมาย คือว่า อะไรที่เกิดขึ้นกับเราก็ดี มองแบบนี้ได้เพราะ เติมคำว่าแค่ไป โทรศัพท์หายก็ดีที่หายแค่โทรศัพท์ ถูกโกงก็ไม่ทุกข์ ดีที่โกงไปแค่หมื่นบาท หรือว่าโกงไปแค่แสน
เวลาเจออะไรก็ตามเติมคำว่า “แค่” ลงไป ใจเราจะเป็นปกติได้ดีขึ้น เป็นแค่มะเร็งสมอง หรือมองก็ได้ว่า ขอบคุณที่มะเร็งทำให้เราได้เห็นธรรมะ ถ้าไม่เป็นมะเร็งคงไม่เข้าวัด ไม่ปฏิบัติธรรม อันนี้คือข้อดี เงินหายของหาย มองว่าโชคดีที่หายแค่นี้ก็ได้ หรือมองว่าของหายก็สอนใจเรา ให้ระมัดระวังไม่ประมาท ต่อไปจะวางกระเป๋าก็ให้วางอย่างมีสติ ไม่ใช่วางไม่เป็นที่ เสร็จก็หาไม่เจอ ก็มีคนหยิบเอาไป เตือนเราว่าให้มีสติ เวลาวางข้าววางของ หรือเตือน หรือบอกเราว่าของทุกอย่างไม่เที่ยง ของที่หายไป เตือนเราว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง อย่างนี้ได้กำไร
อย่างเมื่อปี 2554 มีน้ำท่วมใหญ่ เราคงจำได้ ห้าปีผ่านไป เร็วมาก ผู้คนเป็นแสนสิ้นเนื้อประดาตัว หลายคนก็สูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก บางคนทำใจไม่ได้ กลุ้มอกกลุ้มใจ จนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนฆ่าตัวตาย แต่มีคนหนึ่ง เขายังยิ้มได้ เขาบอกว่า น้ำท่วมคราวนี้ ก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ทุกอย่างที่เรามีเป็นของชั่วคราว สักวันหนึ่งก็ต้องไป ถ้าไฟไม่ไหม้ น้ำก็พัดพาไป หรือไม่ก็มีคนเอาไป ที่จริงต้องเติมไปว่า สุดท้ายก็ต้องไปจากเรา หรือไม่เราก็ต้องไปจาก พอเราตายทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นของคนอื่นไป พอเธอคิดแบบนี้ได้ เธอก็ไม่ทุกข์ เสียของแต่ได้ธรรมะ อันนี้ถือว่าได้กำไร เพราะว่าธรรมะซื้อเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ ของหาใหม่ได้ แต่ว่าธรรมะมีเงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ และถ้ามีธรรมะ ต่อไปหายหนักกว่านี้ใจก็เป็นสุขได้ ใจก็เป็นปกติได้
มองบวก คือ มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราก็ดีทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเป็นหรือเปล่า
มองบวกยังหมายความว่า อย่าไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีมีอยู่ เงินหาย ของหาย โทรศัพท์หาย แต่ว่าที่เหลืออยู่กับเรายังมีอีกตั้งมากมาย คนโกงเงินไป แม้เป็นล้าน แต่สิ่งที่เรายังมีอยู่ ยังเหลืออยู่กับเรามากกว่าสิ่งที่หายไปหลายเท่า อย่าไปสนใจสิ่งที่หายไป สนใจแต่สิ่งที่มี อย่าไปมองแต่สิ่งที่เสีย ให้มองสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่
มีผู้หญิงคนหนึ่ง เขาป่วยเป็นธาลัสซีเมียตั้งแต่เกิด หมอบอกว่า อยู่ได้ไม่เกิน 20 ก็ต้องตาย เพราะเธอเป็นธาลัสซีเมีย โรคเลือดแรงมาก เหมือนน้องเลย พ่อก็เป็นพาหะ แม่เป็นพาหะ พอแต่งงานกัน ลูกเป็น 100% แต่เธอก็สามารถที่รักษาตัวจนอายุได้ 30 กว่า ร่างกายเธอแคระแกร็น ตาโปน กระดูกเปราะ ล้มทีไร ขาหักแขนหักต้องใส่เฝือก ต้องรับเลือดเป็นประจำทุกอาทิตย์ คนที่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร น่าจะมีความทุกข์ แต่เธอยิ้มแย้มแจ่มใส ก็มีคนถามว่า ทำไมเธอมีความสุข เธอบอกว่า ถึงแม้เลือดฉันจะแย่ แต่ฉันก็ยังมีตาเห็นสิ่งสวยงาม ยังมีจมูกดมกลิ่นหอม ยังมีปากกินของอร่อยได้ หูก็ยังฟังเพลงเพราะ จะไปไหนมาไหนก็สะดวก ก็ยังไปได้ แค่นี้ก็มีความสุข คือ เลือดเธอไม่ดี แต่เธอไม่สนใจ เธอสนใจว่า ฉันยังมีอะไรดีอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังดีอยู่
คนที่ป่วยด้วยโรคหัวใจก็ตาม หรือมะเร็งที่กระเพาะก็ตาม
อย่าไปสนใจแต่ตรงนั้น ให้สนใจว่า เรายังมีของดี ๆ อยู่รอบตัว
เราจะมีความสุข
เรามี 100 แต่เสียแค่ 1 หรือ 2 ทำไมจะไปจดจ่อตรงที่ 1 หรือ 2 ที่ไม่ดี ทำไมเราไม่จดจ่อ 98 หรือ 97 ที่ยังดีอยู่
แต่คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ชอบซ้ำเติมตัวเอง จดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ไม่ดี เด็กวัยรุ่นที่เป็นทุกข์เพราะว่าเป็นสิว ผิวแห้ง ผมแตกปลาย ก็เพราะว่า จดจ่อแต่สิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่สวย ทั้ง ๆ ที่ร่างกายก็สวย ร่างกายก็สมาร์ท ทั้ง ๆ ที่มีอะไรต่ออะไรอยู่มากมายรอบตัว มีบ้านที่ดี พ่อแม่ที่อบอุ่น การเรียนก็ดี มีสติปัญญา มีโทรศัพท์ มีเครื่องเล่นดนตรี มีสารพัด แต่ไม่สนใจไปสนใจแต่สิ่งที่ไม่ดี คือ สิวไม่กี่เม็ด หรือผิวที่ไม่สวยเหมือนคนอื่น ลืมไปเสีย สนใจสิ่งดี ๆ เราก็จะมีความสุขได้
พวกเรารู้จักซิโก้ใช่ไหม ซิโก้ เขาเป็นโค้ชมีชื่อใช่ไหม แต่ก่อนที่เขาจะเป็นโค้ช เขาเป็นนักกีฬา นักฟุตบอลระดับซุปเปอร์สตาร์ เป็นแชมป์ เป็นหัวหน้าทีมชาติไทย ตอนหลังก็ไปแข่ง ค้าแข้งในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลย์ เวียดนาม เมื่อ 20 ปีก่อน เด็ก ๆ หลายคนอาจจะไม่รู้ ตอนหลังสโมสรอังกฤษก็ซื้อตัวเขาไปค้าแข้งที่อังกฤษ คนไทยตื่นเต้นดีใจมาก เมื่อ 20 ปีที่ จะได้เห็นซิโก้แข่งบอลอังกฤษ ซิโก้ก็ดีใจเพราะนั่นคือความฝันของเขา แต่ว่า จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่เคยได้ลงสนามเลย นั่งแต่ข้างสนาม เพราะเป็นตัวสำรอง จนครบหมดฤดูกาล เขาเสียใจมาก กลุ้มใจ รู้สึกว่าการไปอังกฤษนั้น เสียเวลา สูญเปล่า ล้มเหลว ใครถามก็ไม่อยากพูดถึง
แต่หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่ปี พอมีคนถามเรื่องนี้ เขายิ้ม เขาบอกการไปครั้งนั้นมีแต่ได้กับได้ ได้บ้าน ได้รถ ได้ภาษา ได้พัฒนาร่างกาย ได้ท่องเที่ยว ได้เจอคนหลากหลาย ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ และได้สัมผัสลีกที่มีสีสันที่สุดของโลก ได้ตั้ง 8 อย่าง เสียอย่างเดียว คือ ไม่ได้เล่น แต่ตอนนั้นเขาเห็นแต่เสีย เขาไม่เห็นว่าเขาได้อะไร แต่ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่มองไม่เห็น อันนี้เรียกว่า มองลบ ผ่านไปหลายปี เขาก็เห็นว่า โอ้โฮ ฉันได้ตั้งเยอะ ดีๆทั้งนั้นเลย เขาก็เลยไม่ทุกข์ เขายิ้มได้ ไม่มีอะไร ผมแค่มองไม่ออก มองไม่เห็น
เพราะฉะนั้น เวลาเราเจออะไรไม่ถูกใจ ลองมองบวกดูสิ มองว่ามีประโยชน์อย่างไรบ้าง มีข้อดีอย่างไรบ้าง หรือมองอย่าไปจดจ่ออยู่แต่ตรงนั้น มองว่า มีอะไรดี ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราบ้าง มองบวก ยังหมายถึงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ถ้ามองให้ดีก็ได้
มีผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่ง เขาเป็นมะเร็งชนิดที่ต้องใช้เคมีบำบัดที่แรง ต้องใช้การฉายแสงในขนาดที่สูง ซึ่งคนส่วนใหญ่ พอเจอจะอาเจียน จะแพ้มาก แต่ผู้ป่วยคนนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาล ปรากฏไม่ค่อยเป็นอะไรเท่าไร ไม่ค่อยแพ้ คนก็ไปถาม เกิดอะไรขึ้น เธอทำอย่างไร มีของดีหรือเปล่า เธอบอก เธอไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่เวลาโดนฉายแสง ก็นึกว่า กำลังได้รับแสงสวรรค์ เวลาได้รับเคมีบำบัดก็นึกว่า กำลังได้รับน้ำทิพย์ พอนึกว่าได้แสงสวรรค์ ได้น้ำทิพย์ ใจยอมรับ พอใจยอมรับ กายก็ยอมรับ ก็เลยไม่ค่อยแพ้ อันนี้เรียกว่า เป็นการมองบวก มองว่ากำลังได้รับแสงสวรรค์ กำลังได้รับน้ำทิพย์ เสียงดัง ๆ เสียงรบกวน ลองมองว่าเป็นเสียงเพลงดูบ้าง บางคน เวลานอนกับใครบางคนเจอเสียงกรนนอนไม่หลับ แต่มีบางคน เขาฟังหรือเขานึกว่าเสียงกรนเป็นเสียงเพลง เขาหลับ อันนี้เป็นการมองบวก
มีนักบินอวกาศคนหนึ่งชาวรัสเซีย รัสเซียเป็นประเทศแรกที่ส่งนักบินอวกาศไปโคจรรอบโลก เป็นประเทศแรกในโลกก่อนอเมริกา เมื่อสัก 60 ปีที่ นักบินอวกาศคนนี้ตอนที่เขาโคจรรอบโลก เขารู้สึกทึ่งมากเลย โลกที่เขามองเห็นข้างล่าง สวย สงบ บรรยากาศก็ไม่มีเสียงดัง สงบมากเลย เขารู้สึกดื่มด่ำกับความสงบและความสวยงามที่เห็นข้างล่าง แต่จู่ ๆ เขาได้ยินเสียงดัง เป็นเสียงเหล็กกระทบกัน คล้าย ๆ แบบนี้ แต่แหลมกว่า เขาก็พยายามหาว่า เสียงมาจากไหน หาไม่เจอ และเสียงก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเขารู้สึกรำคาญ เขาจะหนีก็หนีไม่ได้ เพราะว่าเคบินหรือห้องนักบินแคบ และเขาเริ่มกระสับกระส่าย เขาเริ่มหงุดหงิดกับเสียงนี้ ดังตลอดเวลารบกวนบรรยากาศ
เขาคิดต่อไปว่า ถ้าเสียงดังตลอดทริปของเขา
ตลอดเวลาที่อยู่บนยานอวกาศนี้ เขาคงบ้า พอคิดแค่นี้ เริ่มกระสับกระส่าย
เริ่มหงุดหงิดเลย ทุรนทุรายขึ้นมาทันทีเพราะเสียงนี้ เสียงบ้า ๆ
นี้เมื่อไรจะหายสักที สักพักเขาได้สติขึ้นมา และเขาก็ได้คิดว่า
ทำไมในเมื่อเราจะต้องอยู่กับเสียงนี้ไปตลอด ทำไมเราไม่รักเสียงนี้ดู
เขาเริ่มหลับตา และก็จินตนาการว่า เสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงเพลง
พอรู้สึกว่าเป็นเสียงเพลง ใจเขาก็สงบ ลืมตาขึ้นเสียงเพลงยังอยู่
เสียงนี้หายไป ถามว่าจริง ๆ หายไหม ไม่หายหรอก
แต่กลายเป็นเสียงเพลงในความรู้สึกของเขา เขาก็เลยไม่มีอาการกระวนกระวาย
มีอาการสงบ ตลอดการเดินทางจนกระทั่งกลับสู่พื้นดิน
อันนี้ก็เป็นการมองบวกเหมือนกัน เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี
จากเสียงเหล็กเป็นเสียงเพลง เสียงกรนเปลี่ยนให้กลายเป็นเสียงออเคสตร้า