ครั้งอาพาธหนักตุลาคม 2534
เมื่อท่านอาจารย์พุทธทาสอาพาธด้วยโรคหัวใจครั้งรุนแรงที่สุดเมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ได้มีคณะแพทย์เข้าถวายการรักษา ณ สวนโมกขพลาราม ตลอดช่วงเวลาวิกฤตนั้นได้มีการกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงข้อวินิจฉัยของแพทย์ เพื่อปรึกษาถึงการถวายการรักษาที่เหมาะสม โดยพระเทพวิสุทธิเมธี (ปัญญานันทภิกขุ), ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี, ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ท่านอาจารย์ได้ให้อรรถาธิบายตอบและแสดงเจตจำนงของการรักษาอย่างน่าจับใจในหลายตอน
โดยความตั้งใจเดิมอาจารย์พุทธทาสอยากรักษาตัวอยู่ที่สวนโมกขพลารามไม่อยากไปที่โรงพยาบาล
อยากให้การรักษาเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากใช้เทคโนโลยีต่างๆ
เพื่อยื้อชีวิต หลวงพ่อปัญญานันทะ ซึ่งเป็นสหายธรรมของพุทธทาสภิกขุ
ได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านเข้ารับการรักษา
เพราะสถานที่จะดีกว่าที่สวนโมกขพลาราม
หลวงพ่อปัญญา
ต่างคนต่างวิตกกังวลการป่วยของพี่ท่าน อยากจะให้ไปรักษา ไปกรุงเทพฯก็ได้ ไปสุราษฎร์ก็ได้ผู้ว่าผู้อำนวยการบอกว่าที่โรงพยาบาลสุราษฎร์เขาก็เตรียมพร้อมมีห้องพิเศษที่จะให้พัก ให้สะดวกสบาย (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ถ้าว่าไม่ไปกรุงเทพฯหรือถ้าว่าให้ดีควรไปกรุงเทพ (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
ใครๆ ก็อยากให้ไปจะได้ไปรักษา เครื่องมือเครื่องไม้มันสบายหน่อย ในหลวงก็ทรงปริวิตกกังวลบอกว่าท่านพุทธทาสนี้เป็นพระของประชาชน ควรจะช่วยกันรักษาดูแลให้ได้อยู่ไปนานๆ จะได้เป็นแสงสว่างของประชาชนต่อไป ทางกรุงเทพนั้นพร้อม โรงพยาบาลศิริราชนี้ก็พร้อมคุณสัญญาก็เป็นห่วงจัดการให้เรียบร้อย ถ้าว่าจะไปก็เรียบร้อย ถ้าไปก็สะดวกหน่อย (ท่านอาจารย์หัวเราะ)
เครื่องมือเครื่องไม้ดี แล้วก็ควรจะได้อยู่ในห้องพิเศษ สบาย ทีนี่อากาศมันชื้นมากโรคเกี่ยวกับปอดกับหัวใจมันไม่เหมาะกับความชื้น ที่เป็นอยู่ตามสภาพหน้าฝน แต่ว่าอยู่สู้มาตั้งหลาย 10 ปีแล้วร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ความชรา สู้ไม่ไหวรักษาเยียวยาเสีย ได้หายแล้วก็ได้มาทำงานต่อไป ทำประโยชน์ต่อไป ใครๆ ก็วิตกกังวลในเรื่องนี้ของท่าน ไปก็สะดวกโดยเรือบิน ใครๆก็อยากฟังข่าวอยู่ผมมานี่อยากฟังข่าว ว่าไปหรือไม่ เดี๋ยวหมอประเวศมา
ในตอนแรก นพ.ประเวศ วะสี มีความเห็นว่า
ไม่ควรพาท่านอาจารย์ไปโรงพยาบาลเพราะท่านอาจารย์ไม่อยากใช้เทคโนโลยีเพื่อยื้อชีวิต
แต่หลังจากได้ปรึกษากันก็เปลี่ยนความคิด
เพราะเห็นว่ามีโอกาสที่จะรักษาหัวใจให้ดีขึ้นได้
ไม่ใช่ไปโรงพยบาลเพื่อยื้อชีวิต จึงได้เรียนท่านอาจารย์ถึงทางเลือก 3 ทาง
และจะไม่มีการใช้เทคโนโลยีที่มากเกิน เช่น การเจาะท่อ ใส่สาย
นพ. ประเวศ วะสี
ก็มีหมอมาแจกศิริราชสองคนครับ เมื่อวานค้างอยู่ ท่านอาจารย์ได้พัก แล้วคงไม่น่าคิดเรื่องพาท่านไปโรงพยาบาลหรืออะไร ท่านประกาศไว้นานแล้วไปอยู่โรงพยาบาลถ้าเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีมากเกินมันก็ไม่ดีควรจะมีพอประมาณ
พุทธทาสภิกขุ
มันมักจะมีแต่เรื่องกายเรื่องทางจิตไม่ค่อยมีหรอก
นพ. ประเวศ วะสี
ก็ที่สุดแต่ท่านอาจารย์ตัดสินใจเองเพราะมีหลายแง่หลายมุมหลายด้าน ทีนี้พูดถึงทางด้านการแพทย์ เฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับเรื่องหัวใจที่ว่าสูบฉีดได้น้อยลงนี้การรักษาคงจะดีขึ้น รักษาที่นี่มีอันตรายอยู่อย่างหนึ่งว่า หัวใจอาจจะเต้นเสียจังหว ะแล้วก็หยุดแต่ว่าไม่ได้แปลว่ามันจะเกิด อาจจะไม่เกิด แต่สิ่งที่เกิดนี้เกิดเพราะอายุมาก แบบคนทั่วไปที่ว่าเค้าเป็นลม แล้วก็ปุปปับ ทีนี้สำหรับประเด็นตรงนี้นี่ถ้าอยู่โรงพยาบาลแล้วมีเครื่องมือที่จะดู จะสามารถป้องกันตรงนี้ได้
พวกเรามาคุยกันแล้วก็เข้าใจว่าการไปอยู่โรงพยาบาลนี้เราก็ไม่อยากให้ตัวเทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นนายเหนือท่านอาจารย์เราก็ไม่อยากเห็นแต่พูดถึงทางด้านการแพทย์โอกาสที่ท่านอาจารย์ไปแล้ว ไปลำบากหรือว่าไปแล้วมันไม่หาย ก็ไม่มีใครอยากให้ไปแต่ปรึกษากันทั่วหมดแล้วเขาบอกโอกาสที่จะดีขึ้นนี้สูงมากเรื่องทำให้หัวใจดีขึ้นแล้วก็อยู่ในสภาพที่จะทำงานต่อไปได้อีก อีกหลายปี
ทีนี้ประเด็นก็มีว่าท่านอาจารย์จะอยู่รักษาที่นี่ต่อ หรือว่าจะไปโรงพยาบาลศิริราชหรือไปโรงพยาบาลสุราษฎร์ เราก็มีทางเลือก 3 ทางด้วยกันก็มีประโยชน์กับมีโทษแตกต่างกันในแต่ละเรื่อง
(ท่านอาจารย์หัวเราะ)
นพ. ประเวศ วะสี
ถ้าท่านอาจารย์ไปพวกเราก็จะดูไม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีที่มันเกินเลย มาใส่สาย ตัดโน่น เจาะนี่ อะไรอย่างนี้ไม่มีจะใช้น้อยที่สุดเพียงแต่ว่าปรับการทำงานของหัวใจ
พุทธทาสภิกขุ
ไม่เจาะ ไม่นั่น ไม่อะไรทั้งนั้น
นพ. ประเวศ วะสี
ไม่มีการเจาะหลอดลม
ใส่ท่อแบบเค้าทำกัน...เราก็เข้าใจสภาพของท่านอาจารย์ว่าการอยู่ที่นี่กับการอยู่โรงพยาบาลนั้นไม่เหมือนกันอยู่ที่นี่ที่ท่านอาจารย์อยู่มีความศักดิ์สิทธิ์ แล้วร่างกายท่านอาจารย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมาทำอะไรๆ รตามใจของแต่ละคน
หรือตามความคิดของแต่ละคนซึ่งไม่เป็นการสมควร
เลยว่ากราบเรียนทางเลือกต่างๆ แล้วก็สุดแต่ท่านอาจารย์เอง คือเราก็จะเตรียมพร้อมทุกด้านว่าท่านอาจารย์ตัดสินใจอย่างไรเราก็จะตอบสนองแล้วทำทางด้านนั้นๆ ให้ดีที่สุด
ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ให้หลักคิดเกี่ยวกับการรักษาความเจ็บป่วยไว้คือให้ธรรมชาติหรือธรรมะรักษา การรักษาคือพยุงชีวิตไว้ไม่ให้ตายแล้วรอให้ธรรมชาติจัดสรร ได้เท่าไรก็เท่านั้น และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้มาตลอดชีวิต แม้ในขณะที่เจ็บป่วยท่านก็ถือโอกาสใช้ความเจ็บป่วยในการศึกษาธรรมะ ท่านตั้งใจว่าถ้าอยู่รอดก็จะใช้เผยแผ่ธรรมะเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และอยากรู้ว่าพระสูตรเช่น โพชฌงค์ สวดแล้วรักษาโรคได้จริงหรือไม่อย่างไร
พุทธทาสภิกขุ
อาตมาก็คิดอยู่ว่าถือเป็นหลักแต่ไหนแต่ไรแล้วให้ธรรมชาติรักษา ธรรมะรักษา คุณหมอช่วยผดุงชีวิต ให้มันโมเมโมเมไปได้อย่าให้ตายเสียก่อนแล้วธรรมชาติก็ จะรักษาโรคต่างๆ ได้เอง ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ไม่ต้องการมากกว่านั้น ที่จริงมันควรจะ (หัวเราะ)ไม่ควรจะมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ้าเมื่อต้องเป็นอย่างนี้ก็ศึกษาปัญหา มันก็มีว่าจะทำอย่างไรให้มันอยู่ได้ โดยมีชีวิตมากกว่าพระพุทธเจ้าแต่ไม่เป็นปัญหา
โดยหลักธรรมชาติธรรมชาติจะเป็นผู้รักษา ทางการแพทย์หยูกยาต่างๆ ช่วยเพียงว่าอย่าเพิ่งตาย อย่าเพิ่งให้มันตายเสียให้มันรักษาโดยธรรมชาติ โดยธรรมะ ถ้าชั้นสูงก็เรียกว่าโดยธรรมะ ถ้าทั่วๆ ไปก็เรียกว่าโดยธรรมชาติ ก็ถือหลักอย่างนี้มานานแล้วยังมีปัญหาอะไรอีกบางอย่างที่เป็นส่วนตัวก็พูดยาก
ทีนี้เราจะศึกษาตัวความเจ็บ ตัวความตาย ตัวความทุกข์ ให้มันชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่สบายทุกที ก็ฉลาดทุกทีๆเหมือนกัน
สำหรับกรุงเทพฯ นั้นไม่ถูกกับอาตมา โดยรูป โดยกลิ่น โดยเสียง โดยรส โดยโผฎฐัพพะ มันไม่ถูกกับอาตมาไปอยู่ไม่กี่วันก็ได้โรคกำเดาไหล เลือดฟันออก ริดสีดวงจมูก
เมื่อครั้งเข้าไปเรียน ที่ไปอยู่ตอนหลัง ต้องหนีมา แล้วถ้าเข้าไปพักแต่ละที่ก็เหลือทน ไปพักที่พุทธสมาคมถนนพระอาทิตย์ ในน้ำก็เสียงเรือ ข้างบนก็ที่เลี้ยวจอดรถ ที่กลับรถมันเหลือเกิน แล้วมันไม่ให้ปัจจัยอย่างอื่นที่เกี่ยวกับการศึกษาชีวิตหรือธรรมะนอกจากไปรักษาเท่านั้น
ทีนี้ปัญหาจะรักษาไปทำไม รอดชีวิตอยู่ทำไม เดี๋ยวนี้ที่มุ่งหมายอยู่ สองข้อ
- จะให้ธรรมะนี้ช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์โดยทั่วไปของมนุษย์ทั้งหมด ธรรมะอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทจะทำได้อย่างไรธรรมะอื่นไม่มี
- อีกข้อนึงอยากรู้ว่าทำไมเอาสูตรสำคัญๆ เช่น สัญญา 10 โพชฌงค์ 7 มาสวดแล้วคนเจ็บมันหายได้ คนเจ็บหายไข้ได้ แต่ไม่ใช่คนเจ็บธรรมดา คนเจ็บรู้ธรรมะ คนเจ็บระดับๆ นี้ข้อนี้อยากรู้อย่างยิ่ง ทำไมจึงหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นเรื่องหลอกกันหรือเป็นความจริงกี่มากน้อย อาตมาก็ให้ลองเอามา
นพ. ประเวศ วะสี
สวดหรือยังครับ
พุทธทาสภิกขุ
เปิดเทปสวดสวด โดยการเปิดเทป มันก็มีอะไรอยู่มากเหมือนกันแต่เชื่อว่ามันสำหรับผู้ที่รู้ธรรมะไม่ใช่ชาวนา ถ้าสวดให้ชาวนามันเป็นไสยศาสตร์ สวดมนต์ พรมน้ำมนต์ กัน ทว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์มันจะมีอะไรอีกคนเจ็บหายไข้มันเป็นเรื่องจิตวิทยามากไป ถ้ามันรู้ มันเข้าใจมันพอใจเหลือประมาณด้วยอำนาจของปีติขับไล่ความเจ็บหรือโรคภัยอยากให้วิธีอย่างนี้มาอีกบ้างเสียด้วยซ้ำ ทว่าทั่วไปตาแก่คนหนึ่ง เจ็บจะตายเอาเรื่องขุดเพชรขุดพลอยเอามาบรรยายกันให้ละเอียด ให้เห็นเป็นเรื่องของความหวังแกก็อาจจะหายได้เพราะความอยากที่จะไปขุดเพชรขุดพลอย