ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู

Share

การเมือง สังคม เศรษฐกิจ, พุทธทาส,

    วันอาสาฬหบูชา ก็คือวันประกาศชัยชนะของมนุษย์ ต่อข้าศึกของมนุษย์นั่นเอง ข้าศึกของมนุษย์นั้นก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นอะไรเป็น "ตัวตน" เป็น "ของตน" อย่างยึดมั่นเป็นตัวกูเป็นของกูอย่างยิ่ง

    ขอท่านทั้งหลายจงสังเกตดูให้ดี ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลายเป็นศัตรูของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีความหมายประหลาดอยู่ ที่จริงเห็นแก่ตัวมันน่าจะเป็นประโยชน์แก่ตัว มันกลับกลายเป็นศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์

    พูดได้อย่างน่าขันที่สุดก็คือว่า ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู

    เมื่อใดความคิดนึกมันเกิดขึ้นมาเป็นตัวกูเป็นของกู ความคิดนึกอันนั้นมันก็จะขบกัดตัวผู้คิดผู้นึกนั่นเอง

    นี่แหละมันน่าขันที่ว่า ตัวกูนั้นแหละเป็นข้าศึกของกู ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั้นแหละ เป็นข้าศึกแก่ตัวของมนุษย์ นั้นแหละคือศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์ คือข้าศึกของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในวันนี้ เพื่อกำจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำให้มนุษย์ชนะศัตรูอันร้ายกาจนี้ได้ ขอให้จำไว้ให้ดีว่า ตัวกูนั้นแหละคือข้าศึกของกู

    เมื่อมีความรู้สึกว่าตัวตน หรือของตนเกิดขึ้นแล้ว เป็นตัวกูอย่างนี้ มันก็มีความรู้สึกเขยิบต่อไปอีกจนเป็นความเห็นแก่ตน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนของกู มันก็มีความรู้สึกเห็นแก่ตนของกู เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว

    มีคนพูดกันมากเรื่องความเห็นแก่ตัวแต่แล้วก็ไม่รู้จักมันว่าเป็นศัตรูอันร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นี้มันมาจากสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน สัญชาตญาณแห่งความมีตัวตนนั้นมันจำเป็นจะต้องมี เพราะว่ามันจะได้มีหลักเป็นที่ยึดว่ามีเป็นตัวตน สำหรับจะมีชีวิตอยู่เพื่อจะดิ้นรน เพื่อมีชีวิตอยู่ แต่เดี๋ยวนี้มันเลยนั้นไป อวิชชาความโง่ ความหลงมันมีมากไปกว่านั้น มันก็เลยเกิดความรู้สึกรุนแรงไปจนถึงกับเห็นแก่ตน

    เด็ก ๆ คลอดออกมาไม่กี่เวลามันก็รู้จักความเห็นแก่ตน เพราะใคร ๆ ก็แวดล้อมให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าเป็นตัวเอง เป็นตัวแก เป็นของแก มันก็มีความเห็นแก่ตนเพิ่มขึ้นตามลำดับ

    มนุษย์เราก็มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นตามที่ได้พบกันกับความรู้สึกสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินตามการแวดล้อมของสิ่งที่เข้ามาแวดล้อมมากขึ้น ๆ ตามสมัยที่ว่าเจริญไปด้วยวัตถุสำหรับบำรุงส่งเสริม เราก็มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องรู้สึกตัว

    มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เกิดหนักอกหนักใจ วิตกกังวล ระแวงหวาดกลัวเมื่อเห็นแก่ตัว จนนอนไม่ค่อยจะหลับ ไม่ได้ดีอย่างที่ตัวคิดนึก มันก็โกรธแค้น แล้วมันก็บ้าหลงในความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งเป็นโรคประสาทวิกลจริต เป็นบ้าฆ่าตัวตาย ก็เพราะล้วนแต่ความเห็นแก่ตัว นี่แหละ คือมันเป็นโทษอันใหญ่หลวงว่า

    เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว ถ้าไปเกี่ยวข้องกันกับผู้อื่น มันก็เป็นทุกข์เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง คือเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ แล้วมันก็เบียดเบียนกันกลับไปกลับมา ไม่เท่าไหร่มันก็จะวินาศด้วยกันทั้งนั้น นี่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ได้เกิดขึ้น แล้วก็มากขึ้นตามความเจริญ ยิ่งเจริญด้วยวัตถุ ส่งเสริมความสุขสนุกสนานสะดวกสบายขึ้นมาเท่าไร ความเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งเกิดขึ้นมาเท่านั้น เกิดขึ้นมาเท่านั้น ขอให้คิดดูให้ดี

    โลกเรานี้กำลังเจริญด้วยสิ่งที่บำรุงบำเรอความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน โดยเฉพาะทางกามารมณ์ ความเห็นแก่ตัวมันก็มากขึ้น ๆ แทนที่จะหยุดอยู่ หรือถอยหลัง จนกระทั่งว่าโลกทั้งโลกนี้มันเป็นทาสของวัตถุที่ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ในที่สุดมันก็มีผู้เห็นแก่ตัว ถึงระดับที่เรียกว่า มีพวกผูกขาดการเห็นแก่ตัวเป็นพวกนายทุนขึ้นมา เป็นพวกต่อสู้คือเป็นชนกรรมาชีพขึ้นมา หรือที่เรียกว่าพวกคอมมิวนิสต์เกิดขึ้น

    ถ้าไม่เกิดนายทุนที่เห็นแก่ตัว ไอ้คอมมิวนิสต์มันก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้ก็เกิดนายทุนที่เห็นแก่ตัว มันก็เกิดคอมมิวนิสต์ที่เห็นแก่ตัว ก็ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว ก็เลยรบราฆ่าฟันกันอย่างยิ่ง จะแย่งกันครองโลก พูดจาตกลงอะไรกันไม่ได้ในเรื่องอันเกี่ยวกับสันติภาพของโลก จึงสร้างอาวุธที่จะล้างผลาญกัน

    อย่างที่กล่าวแล้วว่า นอนเห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว ก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว พอไปเบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นทุกข์ออกไปถึงผู้อื่น พอมากเข้าจนถึงกับจะแย่งกันครองโลก มันก็คืออันตรายแก่โลกทั้งโลก ทุกโลกด้วยซ้ำไป ถ้าเกิดใช้อาวุธมหาประลัยอันร้ายกาจนี้ขึ้นมา

    เพราะฉะนั้นขอให้เราทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤตการณ์เลวร้ายทั้งหลายที่กำลังประสบอยู่เดี่ยวนี้ มีปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ ปัญหาส่วนตัวก็มี ปัญหาในครอบครัวก็มีเพราะความเห็นแก่ตัว

    จงสังเกตดูครอบครัวที่เห็นแก่ตัว มันมีความทุกข์เท่าไร จงสังเกตดูบ้านเมืองที่ประชาชนเห็นแก่ตัว มีความทุกข์เดือดร้อนเท่าไร ในประเทศทั้งประเทศ ถ้าเห็นแก่ตัวก็จะสู้รบกันไปไม่มีที่สิ้นสุดในภายในนั้นเอง...ถ้ามีความเห็นแก่ตัว แล้วก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวที่มันมากขึ้น นี่ดูเถอะว่าไอ้สันติสุขของแต่ละคน ๆ มันก็สูญสิ้นไป สันติภาพของสังคมทั้งโลกมันก็สูญสิ้นไป

    ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องพยายามกำจัดความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นความเลวร้ายอันนี้ให้หมดไป สันติสุขของแต่ละคนก็จะกลับมา สันติภาพของสังคมทั้งโลกก็จะกลับมา ข้อนี้ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้ว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก (อัพยาปัชชัง สุขัง โลเก) ความไม่เบียดเบียนกันนั้นเป็นสุขในโลก ความเบียดเบียนกันมันมาจากความเห็นแก่ตัว ถ้าความเห็นแก่ตัวไม่มีแล้ว การเบียดเบียนกันมันก็ไม่มี มันก็ไม่มีการเบียดเบียนกัน แล้วมันก็จะมีความสุขสวัสดีอยู่ในโลกเป็นพื้นฐาน จะมีนิพพานของสังคม อาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้ก็ได้ อาตมาจะกล่าวให้ได้ยินว่า นิพพานของสังคม คือ ความอยู่เย็นเป็นสุขของสังคม เรียกว่า นิพพานของสังคม ถ้านิพพานของปัจเจกชนมันมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่นี้เรามามุ่งหมายเอานิพพานของสังคม คือ คนทั้งโลกจะอยู่เย็นเป็นสุขกันได้อย่างไร ไม่มีความทุกข์ร้อน นี่เป็นนิพพานของสังคม ของสังคมโลก นิพพานของสังคมก็จะกลับมา มาเป็นนิพพานของสังคม เป็นที่น่าชื่นใจ เป็นที่น่าพอใจ ไม่มีอะไรจะน่าพอใจยิ่งไปกว่านี้แล้ว