วันอาสาฬหบูชา - วันที่มนุษย์ได้รับระบบชีวิตใหม่

Share

พุทธทาส,

วันอาสาฬหบูชา

    วันที่พระพุทธเจ้าท่านทำอะไรในหน้าที่ของท่านอย่างสูงสุด วันนี้เป็นวันที่พระพระพุทธเจ้าท่านทำอะไรในหน้าที่ ตามหน้าที่ของท่านอย่างสูงสุด  พระพุทธเจ้ามีหน้าที่อย่างไร  บางคนอาจจะยังไม่ทราบ   ขอให้ทำความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นมีหน้าที่คือปลุก  ผู้ปลุกคนให้ตื่นจากหลับคือกิเลส นั่นแหละจะเป็นเพ็ญขึ้นมาที่สว่างไสว แจ่มแจ้งขึ้นมา

    ถ้าหน้าที่จะดับทุกข์เป็นหน้าที่ของคนทุกคน  แต่ถ้าหน้าที่ที่จะปลุกคนทั้งโลกให้ตื่นนี่  คนอื่นมันทำไม่ได้  มันทำได้แต่พระพุทธเจ้า จึงยกไว้ให้เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า  ทำหน้าที่ปลุกคนให้ตื่น  สัตว์โลกหลับอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสโดยเฉพาะก็คืออวิชชา

คนในโลกหลับอยู่ด้วยความหลับแห่งกิเลส เรียกว่ากิเลสนิทรา 

    กิเลสนิทรา  จำไว้ดี ๆ เพราะบางทีมันจะได้แก่เราเอง ซึ่งมันยังหลับอยู่ด้วยกิเลสนิทรา  โดยมากก็เป็นอย่างนี้ถ้าไม่ได้ศึกษาอะไรมามันก็หลับอยู่ด้วยกิเลสนิทราด้วยกันทั้งนั้น มันก็ทนทุกข์ทรมานไปตามเรื่องของคนที่หลับ  พระพุทธเจ้ามีหน้าที่สูงสุดคือปลุกคนเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมาจนกลายเป็นคนตื่น  หลับด้วยกิเลสนิทรานี่  อธิบายกันง่ายๆว่ามันถือไสยศาสตร์

    ไสยศาสตร์ แปลว่าศาสตร์สำหรับคนหลับ  พุทธศาสตร์ มันศาสตร์สำหรับคนตื่น

    คิดดูให้ดี  ถ้าถือไสยศาสตร์น่ะมันเป็นศาสตร์สำหรับคนหลับ  เพราะคำว่าไสยะๆ มันแปลว่าหลับ  มันไม่รู้ว่าจะดับทุกข์ของมันอย่างไรโดยตนเอง มันก็ต้องพึ่งผีสางเทวดาอะไรก็ไม่รู้  ซึ่งมันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้อย่างไร แต่ก็ถือกันไปอย่างหลับๆ  นี่ก็เรียกว่าเป็นคนหลับเหมือนกัน หลับด้วยกิเลสนิทราอย่างนี้ 

    พระพุทธเจ้าก็มาปลุก คือมาชี้ให้เห็นว่าความทุกข์เป็นอย่างไร  เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร  ความดับทุกข์เป็นอย่างไร ทางให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างไร  คนเหล่านี้จึงตื่นจากหลับ  รู้จักช่วยตัวเอง  เราจึงถือว่าพระพุทธองค์เป็นผู้ปลุกอย่างยิ่ง  แต่เรียกว่ากันตรงๆ ก็ว่าเป็นผู้สอนธรรมะ  สอนธรรมะนั่นแหละคือการปลุก  ปลุกให้ตื่นจากความไม่รู้  จากอวิชชา  ความไม่รู้ตามที่เป็นจริง  ขอให้สนใจกันเป็นพิเศษ

    ทีนี้ก็จะใช้คำอีกคำหนึ่งว่าเป็นวันที่ชาวโลกได้รับระบบชีวิตใหม่  ระบบชีวิตใหม่  ชาวโลกได้รับระบบชีวิตใหม่ ก่อนนี้มันมีชีวิตหลับ  เดี๋ยวนี้มันจะมีชีวิตตื่นกันแล้ว ฉะนั้นใครยังหลับอยู่ก็ช่วยรู้สึกตัวกันสักหน่อย  ขยับขยายให้ดีหน่อย  จะได้ตื่นให้สมกับว่าวันนี้มันเป็นวันที่ต้องตื่น ได้รับระบบชีวิตใหม่

    คำว่าใหม่นี้แปลกประหลาดมากนะ  ในพระบาลีนั้นมีกล่าวว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า  อนนุสฺสุเตสุ  ปุพฺเพสุ   แม้พระองค์เองก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้มาแต่ก่อน  เพิ่งมาตรัสรู้เฉพาะขึ้นด้วยพระองค์เองเป็นของใหม่  ไม่เคยได้ยินได้ฟังใครพูดเรื่องนี้กันมาแต่ก่อน  แต่พระองค์ได้มาตรัสรู้ขึ้นได้ด้วยพระองค์เอง เป็นของใหม่ คือเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘   นี่เป็นของใหม่  ฉะนั้นก็นำมาแสดงแก่ชาวโลก  ก็ต้องนึกคิดพิจารณากันถึงเรื่องชีวิตใหม่นี้ให้ดีๆ  โลกได้รับความรู้ใหม่ เป็นเรื่องระบบการดำรงชีวิตกันอย่างใหม่  อย่าให้มีความทุกข์เกิดขึ้นได้

    โลกนี้ถ้ามันปล่อยไปตามประสาโลกนั้นมันก็คือความทุกข์  ในโลกมีทุกข์  มีโลกก็ต้องมีทุกข์ นี่เรียกว่ามันคู่กันกับโลก  ถ้าได้ระบบชีวิตใหม่ดำเนินชีวิตใหม่ แม้อยู่ในโลกก็ไม่เป็นทุกข์  เพราะมันสามารถถอนจิตใจ ดำรงจิตใจ ยกจิตใจ  ขึ้นมาเสียจากโลก ไม่จมอยู่ในโลก ไม่จมอยู่ในเหยื่อของโลก คือความสุข สนุกสนาน  เอร็ดอร่อย ทางตา  ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ  ซึ่งเป็นเรื่องสำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไร  มันก็หลงกันไป  นี่เรียกว่ามันจมโลก  มันก็ต้องมีความทุกข์อย่างชาวโลก  ทีนี้อยู่ในโลกแล้วก็ไม่หลงเหยื่อในโลก ฉะนั้นก็เลยไม่จมอยู่ในโลก  นี่เป็นของใหม่ขึ้นมา

     ความรู้อันนี้ท่านเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา  พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นเรื่องแรกแล้วจึงค่อยทรงแสดงเรื่องอริยสัจ   เปิดเผยแก่มนุษย์ด้วยเรื่องมัชฌิมาปฏิปทาก่อน  อย่าไปสุดโต่งเรื่องอัตตกิลมถานุโยคและกามสุขัลลิกานุโยค แล้วก็อยู่ตรงกลางเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา นี่สิ่งที่สอนสิ่งแรกหรือเรื่องแรกที่สุด  เราควรจะสนใจคำว่ามัชฌิมาปฏิปทากันเป็นอย่างยิ่ง  ดูยังจะไม่ค่อยจะสนใจ

     ต้องขออภัยที่จะกล่าวว่า ท่านก็สนใจเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  กันเป็นการใหญ่  แต่แล้วอาจจะไม่สนใจเรื่องคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาเสียเลยก็ได้  ที่จริงมันจะสำคัญกว่าเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเสียอีก   มัชฌิมาปฏิปทา มันทำให้คนเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ให้เป็นพระธรรมอยู่ในตัว ทำให้คนเป็นพระพุทธ ทำให้คนเป็นพระสงฆ์  ให้ดับทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง   เรียนรู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทาโดยตรง  แล้วก็จะดับทุกข์ได้  ครั้นดับทุกข์ได้แล้วจึงจะรู้ พระพุทธเป็นอย่างนี้ พระธรรมเป็นอย่างนี้  พระสงฆ์เป็นอย่างนี้

     รู้เรื่องมัชฌิมาปฏิปทาให้ถูกต้องครบถ้วน ปฏิบัติได้ถึงที่สุด  ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง จึงจะรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงว่า คือ บุคคลที่ไม่มีความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ   แล้ววิเศษประเสริฐตรงที่รู้ได้เอง  ไม่ต้องฟังจากคนอื่น  รู้ได้เอง แล้วมันก็วิเศษ สอนผู้อื่นอีก รู้เองดับทุกข์เองแล้วยังสอนผู้อื่นอีกในการที่จะดับทุกข์ได้อย่างนี้ 

     ฉะนั้น ผู้ใดดับทุกข์ได้สิ้นเชิง  ผู้นั้นจะรู้จักพระพุทธเจ้าถึงที่สุด  ไม่อย่างนั้นก็รู้จักแต่พระพุทธรูป พระพุทธบาท พระอัฐิธาตุกันไปก่อนเถิด  ต่อเมื่อดับทุกข์ได้สิ้นเชิง รู้ความไม่มีทุกข์โดยประการทั้งปวงแล้ว  จึงรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง   ดังนั้น พระองค์จึงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม  เห็นธรรมคือความดับทุกข์ได้สิ้นเชิง  ทุกข์เป็นอย่างไร  ดับทุกข์สิ้นเชิงเป็นอย่างไร เห็นโดยประจักษ์อย่างนี้เรียกว่าเห็นธรรม   ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า อย่างที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม  ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา  แม้จะจับแข้งจับขาจับจีวรของเราไว้  ไปไหนไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา   ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า

     สาวกทั้งหลายก็ควรจะเป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน รู้เรื่องดับทุกข์และก็ตื่นจากหลับคือกิเลส และก็เบิกบานคือมีความไม่ทุกข์ จะเรียกว่าความสุขก็ตามใจ แต่ไม่ควรจะเรียกว่าความสุข เพราะมันจะหลอกขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่าไม่มีความทุกข์และก็เบิกบาน  มันก็เบิกบานเหมือนกับดอกไม้บาน  แต่มันบานพิเศษที่ไม่รู้จักโรย  ดอกไม้บานแล้วมันรู้จักโรย  แต่ถ้าเบิกบานด้วยการตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าแล้วเป็นความเบิกบานที่ไม่มีโรย  ไม่มีร่วงโรยอีกต่อไป  นี่จึงขอเรียกว่าเป็นชีวิตใหม่  เอาล่ะ, ขอให้จำคำว่ามัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทา  ท่องไว้ให้ขึ้นใจและก็รู้ความหมายให้ดีๆ แล้วดำเนินชีวิตตามนั้นให้ได้   นี่จึงจะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัทผู้รู้  ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วมาประชุมกันทำพิธีอาสาฬหบูชา ฉลองความสำเร็จของพระพุทธเจ้าในการประกาศพระพุทธศาสนา