พระพุทธศาสนานี่ถือหลักกรรมเป็นใหญ่ เรียกว่ากรรมวาที หมายความว่ามีปกติ ถือว่ากรรมเป็นใหญ่ เป็นประธานในชีวิต อะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่ได้เกิดมาจากอะไรๆ ดลบันดาลให้เป็นไป
ดลบันดาลไม่มีในพุทธศาสนา
คำว่า "ดลบันดาล" นั้น เราไม่ใช้ในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้
ที่เราพูดกันอยู่บ้างนั้น เป็นการพูดตามเขา พูดตามความไม่รู้
ไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของธรรมะในทางพระพุทธศาสนา ไม่เฉพาะแต่ชาวบ้าน
แม้พระสงฆ์องค์เจ้าเราก็พูดตามๆ เขาไป เช่นพูดว่า ขอสิ่งนั้น สิ่งนี้
จงดลบันดาลให้ท่าน เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือพูดว่าขอพระรัตนตรัย
จงดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นคำพูดที่ไม่เป็นสัจจะ ไม่เป็นหลักตามคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าพระรัตนตรัยจะดลบันดาลให้ใครเป็นอะไรหาได้ไม่ แต่ว่าทุกคนจะต้องทำเอาเอง ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าที่ท่านชี้ไว้ให้ปฏิบัติ
พระผู้มีพระภาคท่านตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลายเอง” อันนี้เป็นคำสำคัญมาก คือตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครจะมาพูดว่า ขอให้พระพุทธเจ้าดลบันดาลให้ท่านเป็นสุข ดลบันดาลให้ท่านมั่งมี ดลบันดาลให้ท่านอ้วนพี หรือว่าดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้นั้น ขัดกับหลักความจริงในพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเราไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่เรามีเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามแล้ว เราจะไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เราหวังเป็นอันขาด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยแก้ความหลงใหล ความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ ในการปฏิบัติให้หายไป
พระพุทธรูป
พระพุทธรูป
อันเป็นรูปที่เขาทำขึ้น คนก็ไปติดอยู่ในวัตถุนั้น
ไปขอร้องวิงวอนพระพุทธรูปให้ดลบันดาล ให้ตนเป็นอย่างนั้น ตนเป็นอย่างนี้
ซึ่งเราเรียกกันว่าหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อชินราช
หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่ออะไรต่างๆ ไปตั้งชื่อเข้า
ความจริงนั้นไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปก็เป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่รูปเปรียบแทนรูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า
เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้านั้น ในสมัยที่ตั้งพระพุทธรูป
คนก็ไม่รู้จักแล้ว จำกันไม่ได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเป็นอย่างไร
เป็นภาพสร้างขึ้นด้วยการนึกเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าเป็นมโนภาพ
เป็นภาพที่คิดกันขึ้นว่าควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำเป็นแบบฉบับขึ้น
พระพุทธรูปที่ทำขึ้นนั้น ไม่ใช่รูปแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่าแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เขาปั้นไว้ให้เราเห็นด้วยตา เพื่อจะได้นึกถึงพระคุณของท่านด้วยใจต่อไป ไม่ใช่ปั้นไว้ในฐานะให้เราไปกราบไหว้วิงวอน บนบานศาลกล่าว สั่นติ้ว สั่นกระบอกอะไรต่างๆ ดังที่คนเขาไปทำกันอยู่ทั่วๆ ไปนั้น การกระทำเช่นนั้นไม่เข้าถึงธรรมะของพระศาสนา เป็นการน่าละอายที่เรามีสิ่งเช่นนั้นไว้ในโบสถ์ของพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นสถานที่สำหรับให้คนเข้าไปเรียน ไปรู้ ไปศึกษา ไปค้นหาอะไรด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าไปทำเป็นเด็กเล่นอย่างนั้น แต่ว่าที่เข้ามาอยู่ได้นั้น เพราะว่าอามิสปิดหูปิดตา ทำให้เรามองอะไรไม่เห็น เห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้จากความโง่ของประชาชน แล้วก็ยังอยู่กันในโบสถ์ต่อไป อันนี้ไม่ถูกต้อง คนเข้าไปไหว้พระก็เลยไม่ถึงพระ แต่ไปถึงกระบอกเท่านั้นเอง ไปถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาพิมพ์ออกขาย ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ว่าเราเข้าไปเกาะ ไปจับกันอยู่
ช่วยกันรักษาโรคเนื้อร้ายที่เจริญงอกงามอยู่ในวงการพระศาสนา ให้ออกไปจากจิตใจของพุทธบริษัท ให้พุทธบริษัทเป็นพุทธบริษัทที่แท้ เป็นผู้นั่งแวดล้อมพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปแวดล้อมสิ่งซึ่งโง่เขลาเบาปัญญา ดังที่กระทำอยู่ทั่วๆ ไป
คอรัปชั่นในโบสถ์
ในเมืองไทยเรานี้ เรามักจะพูดกันว่า เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น วิทยุ โทรทัศน์ก็ประกาศทุกคืน ช่วยกันกำจัดคอรัปชั่นให้สิ้น เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด ก็ประกาศอย่างนั้น
คอรัปชั่นน่ะมั่นเริ่มต้นที่ตรงไหน ติดสินบนน่ะมันเริ่มต้นที่ตรงไหน ก็เริ่มต้นจากความเขลาที่ในโบสถ์นั่นเอง
ติดสินบนอย่างไร คือ การไปบนบานศาลกล่าวนั่นเอง บนบานศาลกล่าวต่อพระพุทธรูปว่าถ้าสำเร็จแล้ว จะเอาทองไปปิดที่หน้าผาก หน้าแข้ง ปิดแขน ปิดขา เท่านั้นแผ่น หายแล้วก็จะเอาหัวหมูมาถวาย หายแล้วก็จะเอาละครชาตรีมารำให้หลวงพ่อดู อันนี้ก็คือการคอรัปชั่น เรียกว่ารากฐานของการคอรัปชั่นในประเทศไทย คอรัปชั่นมาตั้งแต่เริ่มต้นกันเลยทีเดียว แล้วก็งอกงามเจริญมาจนคอรัปชั่นในหมู่มนุษย์ทั่วๆ ไป ดังที่เป็นกันอยู่ในสมัยนี้
ทีนี้ในวงการพระศาสนาเรานี้ ถ้าจะแก้ไขเรื่องคอรัปชั่นทางจิตใจคน เราก็ต้องทำลายพระพุทธศาสนาแบบคอรัปชั่นเสีย คือไม่ให้คนไปนั่งบนบานศาลกล่าวอย่างนั้น ไม่ให้ไปติดสินบนพระพุทธรูปอย่างนั้น หรือไม่ให้ทำอะไรในรูปอย่างนั้น อย่าเห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้จากความเขลาของประชาชน แต่ให้เรามองเห็นว่าปัญญาความฉลาดของคนสำคัญกว่าสตางค์ที่เราจะมีจะได้ เพราะว่าสตางค์ที่เราได้มานั้น ไม่สามารถจะรักษาสัจธรรมไว้ได้ แต่มันทำลายสัจธรรมของพระพุทธศาสนาให้หมดไป สิ้นไป
ถ้าเรารักพระพุทธศาสนา เราจะเอาเงินไว้ทำลายศาสนาดีรึ หรือว่าเราจะไม่เอาเงินนั้น เพื่อรักษาศาสนาไว้ดีกว่า อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ที่เราควรคิดกันแล้วในสมัยนี้แต่ว่าคนเขาไม่ค่อยจะคิดกัน ไม่คิดก็เพราะว่าเห็นแก่ปัจจัยเท่านั้นเอง แต่อาตมานี่มองแล้วรู้สึกรำคาญใจ จึงได้พูดออกไปในรูปอย่างนี้ ก็เพื่อให้เราได้ช่วยกันทำลายสิ่งที่เรียกว่าเนื้อร้ายในวงการพระศาสนา การคอรัปชั่นในวงการพระพุทธศาสนาให้หายไป ให้เราไปวัดเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อปฏิบัติธรรมะ เพื่อขูดเกลาจิตใจของเราให้สะอาด เข้าไปในโบสถ์ก็เข้าไปเพื่อศึกษา เข้าไปเพื่อปฏิบัติกันอย่างแท้จริง
สถานที่ในโบสถ์ ในวิหาร ในวัดวาอารามนั้น ต้องมีเฉพาะสิ่งเกื้อกูลแก่ปัญญา ไม่มีสิ่งที่เกื้อกูลแก่ความหลง ความเขลาของประชาชน ถ้ามีอยู่ก็ต้องเอาออกกันเท่านั้นเอง