เบิกตาเราไม่ต้องเบิกตาพระพุทธรูป

Share

ปัญญานันทภิกขุ, เข้าใจให้ถูก, การเมือง สังคม เศรษฐกิจ,

  พระผู้มีพระภาคท่านตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางนั้นเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลายเอง” อันนี้เป็นคำสำคัญมาก คือตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ เพราะฉะนั้นใครจะมาพูดว่า ขอให้พระพุทธเจ้าดลบันดาลให้ท่านเป็นสุข ดลบันดาลให้ท่านมั่งมี ดลบันดาลให้ท่านอ้วนพี หรือว่าดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้น ให้ท่านเป็นอย่างนี้นั้น ขัดกับหลักความจริงในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเราไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่เรามีเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้เท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามแล้ว เราจะไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เราหวังเป็นอันขาด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยแก้ความหลงใหล ความเข้าใจผิดในเรื่องอะไรต่างๆ ในการปฏิบัติให้หายไป

พระพุทธรูป

    ทีนี้ทีหลังมาเรามีวัตถุเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว คือ พระพุทธรูป อันเป็นรูปที่เขาทำขึ้น คนก็ไปติดอยู่ในวัตถุนั้น ไปขอร้องวิงวอนพระพุทธรูปให้ดลบันดาล ให้ตนเป็นอย่างนั้น ตนเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าหลวงพ่อ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อชินราช หลวงพ่อมงคลบพิตร หลวงพ่อแก้ว หลวงพ่ออะไรต่างๆ ไปตั้งชื่อเข้า ความจริงนั้นไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ เพราะว่าพระพุทธรูปก็เป็นรูปเปรียบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รูปเปรียบแทนรูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้า เพราะว่ารูปร่างหน้าตาของพระพุทธเจ้านั้น ในสมัยที่ตั้งพระพุทธรูป คนก็ไม่รู้จักแล้ว จำกันไม่ได้แล้วว่ารูปร่างหน้าตาของท่านเป็นอย่างไร เป็นภาพสร้างขึ้นด้วยการนึกเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าเป็นมโนภาพ เป็นภาพที่คิดกันขึ้นว่าควรจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำเป็นแบบฉบับขึ้น

    พระพุทธรูปที่ทำขึ้นนั้น ไม่ใช่รูปแทนพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ว่าแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า เขาปั้นไว้ให้เราเห็นด้วยตา เพื่อจะได้นึกถึงพระคุณของท่านด้วยใจต่อไป ไม่ใช่ปั้นไว้ในฐานะให้เราไปกราบไหว้วิงวอน บนบานศาลกล่าว สั่นติ้ว สั่นกระบอกอะไรต่างๆ ดังที่คนเขาไปทำกันอยู่ทั่วๆ ไปนั้น การกระทำเช่นนั้นไม่เข้าถึงธรรมะของพระศาสนา เป็นการกระทำของเด็กอมมือ ไม่ใช่การกระทำของผู้รู้ ผู้ฉลาด ในการปฏิบัติตนตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า และเมื่อเราไปกระทำอย่างนั้น ก็เป็นที่เย้ยหยันของศาสนิกในศาสนาอื่น ใครเขามาเห็นเข้าเขาก็หัวเราะให้ หัวเราะว่าพุทธบริษัทมีความเป็นอยู่เหมือนกับเด็กอมมือ เพราะไปนั่งเล่นกระบอกกันอยู่ในโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป หรือว่าไปเสี่ยงทายในรูปใดๆ ก็ตาม

    เป็นการน่าละอายที่เรากระทำกันในรูปเช่นนั้น แล้วก็เป็นการน่าละอายที่เรามีสิ่งเช่นนั้นไว้ในโบสถ์ของพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นสถานที่สำหรับให้คนเข้าไปเรียน ไปรู้ ไปศึกษา ไปค้นหาอะไรด้วยปัญญา ไม่ใช่เข้าไปทำเป็นเด็กเล่นอย่างนั้น แต่ว่าที่เข้ามาอยู่ได้นั้น เพราะว่าอามิสปิดหูปิดตา ทำให้เรามองอะไรไม่เห็น เห็นแก่สตางค์เล็กๆ น้อยๆ ที่จะได้จากความโง่ของประชาชน แล้วก็ยังอยู่กันในโบสถ์ต่อไป อันนี้ไม่ถูกต้อง แต่ว่ามันถูกต้องเรื่องสตางค์ มันไม่ถูกต้องตามธรรมะ แต่เรื่องสตางค์มันถูก แต่นี่อยากได้สตางค์ก็เลยเอาไว้ คนเข้าไปไหว้พระก็เลยไม่ถึงพระ แต่ไปถึงกระบอกเท่านั้นเอง ไปถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เขาพิมพ์ออกขาย ไม่ถึงคุณของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ว่าเราเข้าไปเกาะ ไปจับกันอยู่

เบิกตาเราไม่ต้องเบิกตาพระพุทธรูป

    คล้ายกับเรามีพระพุทธรูปงามๆ ไว้กราบไว้ไหว้เนี่ย ต่อมาขโมยเอาไปเสีย เสียอกเสียใจว่าขโมยลักพระพุทธรูปไปเสียแล้ว ความจริงจะไปเสียใจอะไร มันลักไปแล้ว ก็เหมือนกับมันเอาเงินเราไป เอาทองเราไป เอาพระเราไปก็เท่ากันนะ คือวัตถุเท่ากัน แต่ว่าเราไปนึกว่า แหมมันเอาถึงพระพุทธรูปนะ ความจริงถ้ามันลักพระธรรมสิน่ากลัวอันตราย แต่ว่าพระธรรมนี่ขโมยลักไม่ได้นะ มันลักได้แต่หนังสือ แต่หนังสือมันก็ไม่เอาขโมย มันไม่รู้จะเอาไปขายใคร

    พระพุทธรูปเนี่ยคนเอาเพราะว่าเขาชอบเล่นของเก่า ฝรั่งซื้อ ไม่ใช่ซื้อเอาไปทำอะไรหรอก เอาไปไว้ในสนามหญ้าบ้าง ในห้องรับแขกบ้าง ถ้าเป็นพระยกมืออย่างนี้ล่ะก็ แขวนไม้เท้าบ้าง แขวนหมวกบ้าง อะไรๆ ต่ออะไรไป ตามเรื่องตามราว ถ้าองค์เล็กๆ ก็เอาไปใส่ตู้โชว์ เขาเรียกว่าวินโดว์โชว์ หน้าต่างโชว์นะ เอาพระไปยืนไว้ เอาขวดเหล้าวางไว้ที่ตั้งเท้า ไว้ให้คนดู เห็นพระ เห็นเหล้าอะไรไป

    เรามีนี่ในฐานะว่าเป็นสิ่งที่เราเคารพบูชา เคารพบูชาว่าเป็นสิ่งแทนพระคุณของพระพุทธเจ้า แทนคุณงามความดี ให้เราได้มองได้ระลึกถึง แต่ว่าอย่าไปยึดติด แล้วก็อย่าไปคิดว่าจะต้องมีพระเชียงแสน สุโขทัย ศรีวิชัย ทวาราวดี ลพบุรี อย่าให้มันยุ่งไปถึงขนาดนั้นเลย เอาแต่เพียงว่าเป็นพระก็แล้วกัน หล่อมาเป็นพระใช้ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปเบิกตาท่านหรอก เราไม่ต้องทำไปเบิกตาท่าน เบิกตาเราให้มันกว้างๆ ก็แล้วกัน

พระข้างใน

    นี่ต้องไปทำพิธี เอ้าเบิกพระเนตรหน่อย พระเนตรพระพุทธรูปไม่ต้องเบิกแล้ว เรียบร้อยแล้ว เขาหล่อเป็นรูปตาเสร็จแล้ว เรามาเบิกตาเราให้มันสว่างไง เบิกตาเราให้สว่างด้วยปัญญา ให้มองเห็นองค์พระที่แท้ อย่าไปเห็นทองเหลือง อย่าไปเห็นอิฐ เห็นปูน หรืออย่าไปติดชื่อว่า นี่หลวงพ่อชินราชนะ นี่หลวงพ่อโสธรนะ นี่หลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ อย่าไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เราไปติดในสิ่งอื่นดีกว่า คือว่าเนื้อแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร มองให้ลึกเข้าไป ให้ทะลุทองเหลืองเข้าไป ให้ทะลุอิฐ ทะลุปูนเข้าไป ให้เห็นอะไร ให้เห็นพระคุณของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความกรุณาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้า ให้เห็นความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าเรามองทะลุสิ่งนั้น

    เมื่อทะลุสิ่งนั้นเข้าไปเราก็ถึงเนื้อแท้คือพระธรรม แล้วเราก็หันมามองมองดูตัวเรา ว่าเรานี่นับถือพระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราหรือเปล่า มองดูที่ใจของเรา ว่าเรามีพระพุทธเจ้าในใจเราไหม เราอยู่ด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ไหม เราอยู่ด้วยปัญญาไหม เราอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจไหม มองอย่างนั้น เรียกว่าเห็นสิ่งข้างนอก มองทะลุวัตถุข้างนอก เห็นเนื้อแท้ เมื่อเห็นเนื้อแท้แล้ว มามองดูตัวเรา ว่าเรามีสิ่งนั้นอยู่หรือเปล่า เรามีพระข้างในอยู่หรือเปล่า

    พระข้างในนี่แหละสำคัญนักหนา ถ้าเรามีพระกรุณาประจำใจ มีพระปัญญาประจำใจ มีความบริสุทธิ์เป็นอุดมการณ์ประจำจิตใจ เรียกว่าเรามีพระแท้อยู่ในใจของเรา เมื่อเรามีพระแท้อยู่ในใจอย่างนี้ เราจะปลอดภัยขึ้น

     โยมลองพิจารณาว่าปลอดภัยอย่างไร เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เหมือนที่พูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ตั้งฐานไว้ในใจว่า สัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ฐานที่เราตั้งไว้ในใจ เราไปไหนเราไปด้วยความกรุณา คนที่ไปด้วยความกรุณานั้นไม่มีศัตรู ไม่มีศัตรู เพราะว่าเราเห็นใครนี่ สายตาเรามันไม่เป็นศัตรูกับเขา คนที่มีใจเหี้ยมโหดดุร้าย ตามันบอก หน้ามันบอกนะ เช่นเราไปเจอใคร คนดุๆ นี่ตามันเหี้ยมๆ นะ หน้าก็เหี้ยมๆ นะ ท่าทางมันก็ดูๆ เหมือนกับว่าเสือนะ เสือนี่มันดุคน สุนัขมันดุ ถ้าเราเห็นสุนัขดุ ตามันเขม็งนะ หูมันชันขึ้น หางมันตั้งขึ้น ขนมันลุกขึ้น เห็นไหม ดูแล้ว ในใจมันดุแล้ว มันเตรียมแล้ว เตรียมจะเล่นงานแล้ว ถ้าเราเข้าไปใกล้มันก็งับเราเท่านั้นเอง

    คนก็เหมือนกัน ถ้าว่าเราเห็นใครหน้าตาเหี้ยมนี่ แสดงว่าเขาไม่มีความกรุณา ตาเขาแสดงอาการให้เราเห็น มือไม้แสดงอาการ ทำท่าเตรียมพร้อมที่จะชกจะต่อย อย่างนั้นขาดความกรุณาในใจ ทีนี้เราเห็นอย่างนั้น อ้อนี่ไม่ดี มันเป็นภาพที่ไม่ดี เราไปไหนเราไม่มีภาพนั้น แต่เรามีการแสดงออกความกรุณาปราณี เราไปด้วยใจคิดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายเป็นสุข เห็นใครเราก็นึกว่าขอให้เป็นสุข ส่งกระแสจิตไปก่อน ให้ไปกระทบบุคคลนั้น นัยน์ตาเราก็มีความอ่อนโยน หน้าตาก็เบิกบานแจ่มใส มือไม้ก็อยู่ในสภาพปกติ คนใดเห็นเราจะไม่เป็นศัตรูกับเรา คนที่มันเป็นศัตรูกันนั้น เพราะว่าจิตมันคิดเป็นศัตรูกัน พอจิตคิดเป็นศัตรูกันก็เกิดความไม่ไว้วางใจกัน พอไม่ไว้วางใจก็ขยับนะ ถือมีดก็ขยับมีดนะ ถือพร้าขยับพร้านะ ถ้ามีปืนก็ขยับแล้วนะ ทำท่าแล้วนะ มันทำท่าอย่างนั้น

    จิตไม่มีกรุณา ไม่มีคุณธรรม ไม่มีพระประจำอยู่ในจิต ก็เลยห้ำหั่นกัน ฆ่ากันตายเท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีความกรุณาปราณีอยู่ในใจนั้น เราไปไหนนี่ คนอื่นเขาก็เห็น เขารู้ว่าเป็นคนอย่างไร แล้วการพูดจา การแสดงออกของเรา มันเป็นความกรุณาทั้งหมด คนที่มีความกรุณาอยู่ในใจนั้น ร่วมแบ่งปัน ส่วนที่เรามีเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนอื่น ถ้าอย่างนี้ใครจะมาทำร้ายเรา