มีเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง พ่อแม่แล้วก็ลูก ลูกอายุประมาณสัก 10 ขวบ
เช้าวันหนึ่งกำลังกินข้าวเพื่อที่จะไปทำงานแล้วไปโรงเรียน
ลูกสาวก็บังเอิญทำแก้วน้ำหล่นจากมือ ขณะที่กินอาหาร
แก้วนั้นก็เป็นแก้วใส่นมด้วย พอมันตกพื้น ก็แตก นมก็กระจาย พื้นก็เลอะเทอะ
พ่อเห็นก็ด่าว่าลูก ลูกก็เลยร้องไห้ แม่ก็ต่อว่าพ่อว่าทำไมไปว่าลูกแรงๆ
แบบนั้น
พอถูกภรรยาว่า สามีก็เลยตอบโต้ เกิดการโต้เถียงกันระหว่างสามีกับภรรยา หรือระหว่างพ่อกับแม่ของเด็ก เถียงกันอยู่นาน จนกระทั่งมาได้สติว่าต้องออกจากบ้านแล้ว
ผู้เป็นพ่อหรือผู้เป็นสามีก็รีบขึ้นไปเก็บเอกสารใส่กระเป๋าเพราะเป็นนักธุรกิจ
เสร็จแล้วก็รีบพาลูกสาวไปส่งโรงเรียน แต่กรุงเทพฯ ถ้าออกช้าสัก 10 นาที
มันก็มีผลมากแล้ว คือรถติดหนัก ปรากฏว่าในที่สุดก็ส่งลูกสาวไม่ทัน
ลูกสาวไปโรงเรียนสาย ถูกครูทำโทษเพราะไปเป็นโรงเรียนที่เขาเคร่งครัดมาก
ส่วนตัวเองก็ไปทำงานสายเหมือนกัน แล้ววันนั้นก็มีประชุมสำคัญด้วย
เจ้านายกับผู้ชายคนนั้นก็ต้องไปประชุมกับลูกค้า
แต่ปรากฏว่าเอกสารเอามาไม่ครบ เลยประชุมกันไม่ได้
ไม่สามารถที่จะปิดดีลหาข้อสรุปได้ เจ้านายก็ว่าเขาว่าทำไมทำงานบกพร่อง
เรื่องสำคัญแบบนี้ นอกจากมาสายแล้ว ยังไม่สามารถที่จะหาข้อสรุปได้
ถูกเจ้านายด่าว่าก็เลยอารมณ์เสีย
บ่ายวันนั้นก็เลยทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธิ ไม่มีก็จิตกะใจจะทำงาน
เพื่อนมาแซวตามปกติ แต่คราวนี้เขาไม่มีอารมณ์เล่นด้วย เขาก็ด่ากลับ
เลยทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกันยาวเลย จนกระทั่งได้เวลาเลิกงาน
เป็นอันว่าวันนั้นงานก็เสีย แล้วก็ทะเลาะกับเพื่อน
ขับรถกลับบ้านด้วยความอารมณ์เสีย หงุดหงิด ก็ปรากฏว่ารถไปเฉี่ยว
ก็เสียเวลาบนถนนอยู่นาน กว่าจะไปถึงบ้านก็ค่ำแล้ว
ไปถึงบ้านก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับลูก ไม่มีอารมณ์จะคุยกับภรรยา
แถมโทษลูกสาวด้วยว่าทำให้เกิดเรื่องเกิดราวทั้งวัน
ก็ต่อว่าลูกสาวไปอีกยกใหญ่ แล้วก็เถียงกับภรรยาอีกตามเคย
สุดท้ายคืนนั้นทุกคนเข้านอน อย่างไม่มีความสุขเลย
อันนี้เป็นวันที่แสนจะย่ำแย่ของชายคนนั้น
แต่ที่จริงมันไม่จำเป็นต้องลงเอยแบบนี้ก็ได้
มันมีความเป็นไปได้หรือทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือว่าขณะที่กินข้าวแล้ว
ลูกสาวทำแก้วน้ำตก พ่อก็ได้สติ ไม่โกรธลูก ก็เตือนลูกดีๆ
ว่าให้มีสติเวลากินอาหาร พูดดีๆกับลูก ก็ไม่มีการทะเลาะกับภรรยา
ลูกก็ไม่ร้องไห้ พอได้เวลาออกจากบ้าน พ่อก็ไปเอาเอกสาร
แต่เนื่องจากไม่ได้รีบ ก็เก็บเอกสารได้ครบ ถึงเวลาพาลูกไปส่งโรงเรียน
ก็ไปทันเวลา ลูกไม่ถูกครูลงโทษ
ตัวเองก็ไปประชุมทัน และเนื่องจากมีเอกสารพรักพร้อม
ประชุมวันนั้นก็จบลงด้วยดี ปิดดีลได้ เจ้านายก็ชม เขาก็อารมณ์ดี
ทำงานอย่างมีความสุข ถึงเวลาเพื่อนมาแซว เขาก็แซวกลับ เฮฮากัน
เรียกว่าชื่นมื่น ถึงเวลาเลิกงานก็ขับรถกลับถึงบ้านได้อย่างราบรื่น
ไม่มีเรื่องเหตุร้าย เจอลูกก็ยิ้มให้ เจอภรรยาก็ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม
ก็เป็นอันว่าวันนั้นทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุข
อันนี้เป็นเรื่องของทางเลือก
เราสามารถจะเลือกได้วันหนึ่งๆ เราจะเลือกแบบไหน
วันที่ราบรื่นหรือวันที่เต็มไปด้วยอุปสรรค หรือจะเรียกว่าเป็นวันซวยก็ได้
ที่จริงจะเรียกว่าเป็นวันซวยก็ไม่ได้
เพราะจริงๆ แล้ว มันเริ่มต้นแค่เหตุการณ์เดียว เหตุการณ์ที่สำคัญคือตอนที่ลูกสาวทำแก้วน้ำตก จุดเปลี่ยน อยู่ตรงนี้
ว่าพ่อทำอย่างไรกับลูกสาว มีสติหรือขาดสติ ถ้ามีสติไม่ต่อว่าลูก
ชีวิตวันนั้นก็ราบรื่น แต่เพราะไปต่อว่าลูก ชีวิต
วันนั้นก็เลยเกิดการกระทบกระเทือน ผิดเพี้ยนกันไปหมด
จุดเปลี่ยนมันไม่ได้อยู่ที่ลูกสาวทำแก้วน้ำตก แต่อยู่ที่พ่อว่ามีสติหรือไม่
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่เป็นพ่อก็เลือกได้ว่า
จะให้ชีวิตของตัวเองแต่ละวันเป็นไปในทางไหน
ไปสู่ความยุ่งยากหรือว่ากลายเป็นวันซวย
หรือว่าไปสู่ความราบรื่นหรือเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่ง
จะว่าไปแล้วคนเรามันเลือกได้เสมอ
ว่าเราจะให้ชีวิตของเราแต่ละวันเป็นอย่างไร
หรือแม้กระทั่งว่าเมื่อเจอเหตุร้าย เราอยากจะให้มันลงเอยแบบไหน มันเลือกได้