สงครามที่ใกล้ตัวเรามากจนเรามองข้ามไป

Share

การเมือง สังคม เศรษฐกิจ, พุทธทาส,

มนุษย์จะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพได้อย่างไร ในเมื่อการสงครามนี้มันมีอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้า ไม่ใช่ทำสงครามกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

    มนุษย์สมัยนี้ทำสงครามกันกับพระธรรม พูดแล้วก็ ก็น่าขันคือน่าหัว หรือไม่น่าเชื่อ ที่อาตมาจะพูดว่ามนุษย์ คนสมัยนี้กำลังทำสงครามกับพระธรรม

    ท่านลองคิดดูว่าคนทำสงครามกับพระธรรมได้อย่างไร มันก็เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ยากนักว่าคนที่เหยียบย่ำธรรม ไม่ประพฤติตามธรรมนั่นแหละคือคนที่ทำสงครามกับพระธรรม พระธรรมต้องการให้เป็นอย่างนี้ เขาไม่ยอมทำอย่างนี้ เขายอม เขาทำไปในทางที่ตรงกันข้าม อย่างนี้เรียกว่าทำสงครามกับพระธรรม หรือจะพูดกันอย่างสมมติเป็นบุคคลาธิษฐานก็ว่าทำสงครามกับพระเจ้า

    คนสมัยนี้กำลัง กำลังทำสงครามกับพระเจ้ากันอยู่ทั่วไปทั้งโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คนรบราฆ่าฟันกัน เป็นสงครามในระหว่างคนต่อคนมนุษย์ต่อมนุษย์นั่น นั้นก็ยังไม่ใช่สงครามที่ลึกซึ้งอะไร สงครามที่ลึกซึ้งนั้นคือสงครามที่มีอยู่ระหว่างคนกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้คนทำสงครามแก่กันและกัน แต่คนก็กล้าดื้อกล้าฝืนทำสงครามแก่กันและกัน นี้คือการทำสงครามแก่พระเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่ทำสงครามแก่กันและกันจึงต้องได้รับโทษจากพระเจ้า คือมีความทุกข์กันอยู่อย่างไม่ขาดสายทั้ง ๒ ฝ่าย คู่สงครามทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นเป็นผู้กล้าทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าจึงลงโทษให้สาสมกันคือให้มีความทุกข์กันทั้ง ๒ ฝ่าย จนกว่าเมื่อใดจะปรองดองคืนดีกันได้ นั้นก็คือเลิกทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้รางวัลคือให้คนทั้งหลายอยู่กันเป็นผาสุก

    ท่านจงไปคิดดูในข้อนี้ให้มากว่าคนนี้ละเลยธรรมะละเลยพระเจ้า จนทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียเอง ทั้งในยามปกติและในยามที่มีสงคราม ในยามปกติที่มัน ที่เขาไม่รบกันนั้นก็ยังมีมนุษย์ที่ทำสงครามกับพระธรรมหรือพระเจ้า คือฝืนพระธรรมหรือฝืนคำของพระเจ้า ที่ฝืนกันมากที่สุดทั่วไปทั้งโลกก็คือว่าคนสมัยนี้แสวงหาหรือมีไว้เกินกว่าความจำเป็น เขาต้องการจะให้สวย ให้รวย ให้สนุกสนานเอร็ดอร่อย เพลิดเพลินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ส่วนพระธรรมหรือพระเจ้านั้นบอกว่าอย่าต้องการให้มันมากถึงขนาดนั้นเลย จงต้องการแต่เท่าที่จำเป็นแก่การที่จะเป็นอยู่กันอย่างผาสุกเถิด

    ผู้ที่มัวเมาอยู่ด้วยความสุขทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีสร่างไม่มีซา นี่ก็คือผู้ที่ทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้คนเกิดมาโง่ถึงขนาดนั้น ลองคิดดูให้ดีว่าพระธรรมไม่ได้ต้องการให้คนโง่ถึงขนาดนั้น ต้องการให้คนอยู่ด้วยความเป็นปกติสุขมีความสะอาด สว่าง สงบพอสมควรแก่อัตภาพ

    เดี๋ยวนี้คนก็ไปบูชาเหยื่อทางอายตนะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายที่เป็นเรื่องกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นไม่มีที่สุด นี้ก็คือการทำสงครามกันกับพระธรรมหรือพระเจ้า ทีนี้เราดูต่อไปโดยไม่ต้องเกรงใจใครว่าคนทุกคนในโลกทุกประเทศ ไม่เฉพาะประเทศไหน ทุกประเทศในโลกเขาก็เตรียมกันไปในทางที่จะเบียดเบียนกันเอาเปรียบกัน เช่นว่ามีการตระเตรียมทางทหารกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางเศรษฐกิจกันทุกประเทศ มีการตระเตรียมทางการเมืองกันทุกๆประเทศ แต่แล้วตระเตรียมเพื่ออะไรกัน มันตระเตรียมเพื่อความโลภโมโทสัน ตระเตรียมเพื่อจะเอามาให้มาก เพื่อจะกวาดล้อมเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัว หรือเพื่อจะรวมหมู่รวมพวกกันต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามแล้วเอามาแบ่งกัน อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ทำสงครามกันกับพระเจ้า ทำสงครามกันกับพระธรรม เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น พระธรรมก็ไม่ต้องการให้ทำอย่างนั้น แต่มนุษย์ก็ยังคงทำ เรียกว่ามนุษย์นี่เตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ท่านจะนึกว่ามันเป็นคำด่าหรือคำสบประมาทหรืออะไรก็ตามที แต่อาตมาจะยืนยันอยู่ว่ามนุษย์นี้เตรียมพร้อมอยู่เสมอเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น

    ทุกคนลองตรวจสอบตัวเองดูว่าเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะเอาเปรียบผู้อื่นหรือไม่ แล้วมีกี่คนที่เตรียมพร้อมที่จะเสียสละให้ผู้อื่น แล้วมันมีกี่คนที่เตรียมพร้อมเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้ว

     ผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะเอาเปรียบผู้อื่นทุกกระเบียดนิ้วนี้คือผู้ที่ทำสงครามกันกับพระธรรม ทำสงครามกันกับพระเจ้า เหยียบย่ำพระธรรม เหยียบย่ำพระเจ้า กล้าดื้อกล้าดึง กล้าฝ่าฝืนพระธรรมหรือพระเจ้า คำว่าเอาเปรียบผู้อื่นในที่นี้หมายความว่าเตรียมพร้อมที่จะได้ประโยชน์มาเป็นของตนแทนที่จะให้ผู้อื่นได้ และพร้อมที่จะเอามาเป็นของตนโดยไม่ต้องคิดถึงผู้อื่น มัน ดูผิวๆเผินๆก็คล้ายๆกับว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย แต่ถ้าดูให้ลึกซึ้งลงไปแล้วจะเห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะเป็นอย่างนั้น เว้นเสียแต่จะมีสิ่งๆหนึ่งเข้ามาแทรกแซงคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง

    เรียกว่ามหาสงครามมันเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วโลกนี้มันจะมีความสุขได้อย่างไร ข้อที่ว่าองค์การโลก องค์การนั้นองค์การนี้ องค์การโลก โลกนั้นนั่นแหละอวดอ้างว่าจะจัดให้โลกนี้มีสันติภาพ มันก็เป็นของน่าหัวเราะเยาะอย่างเด็กอมมือ มนุษย์จะจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพได้อย่างไรในเมื่อการสงครามนี้มันมีอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้าไม่ใช่ทำสงครามกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

     ท่านลองคิดดูให้ดีมันทำสงครามกันอยู่ระหว่างมนุษย์กับพระเป็นเจ้า แล้วมนุษย์ไหนจะมีปัญญาขจัดสงครามนี้ให้ออกไปได้ เว้นไว้แต่ว่ามนุษย์จะหันหน้าไปคืนดีกับพระธรรมหรือพระเจ้าเสียให้ถูกต้องเท่านั้นเอง แล้วพระเจ้าหรือพระธรรมก็จะบันดาลให้เกิดสันติสุขขึ้นในโลกนี้