ภิกษุเงื่อม ก็กลัวเหมือนกัน (เรื่องที่ ๒\๙)

Share

งานจดหมายเหตุ,

๙ วัน ๙ เรื่อง ก้าวสู่ความเป็นพุทธทาส

ภิกษุเงื่อม ก็กลัวเหมือนกัน (เรื่องที่ ๒/๙)

เขาเคยเป็นเด็ก เขาเคยเป็นวัยรุ่น ก่อนนี้เขาอยู่กรุงเทพ บัดนี้เขาตกลงใจกลับไชยา หาสถานที่สำหรับส่งเสริมการปฏิบัติธรรมสักแห่ง “ราวเดือนเศษ ก็หาสถานที่ได้” เป็นป่าวัดร้างอายุไม่ต่ำกว่า ๘๐ ปี ที่นี่คือห้องเรียน ซึ่งสอนเขาหลายวิชา รวมทั้งวิชาเปลี่ยนความกลัวเป็นความธรรมดา

“ในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวและเพิ่งประสบเป็นครั้งแรก ย่อมเป็นการเหลือวิสัยที่จะไม่ให้เกิดการสะดุ้ง”

“ครั้นกำลังใจค่อยเข้มแข็งขึ้น ‘สติ’ ค่อยรวดเร็วขึ้น ความเคยชินค่อยมากขึ้น สิ่งนั้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นธรรมดาไป”

"สถานที่นี้ เมื่อฉันมาอยู่ก็ยังเป็นสถานที่กลัวเกรงของคนทั่วไป มีผู้ชายหลายคน แม้กลางวันแสกๆ คนเดียว ไม่กล้าไปที่โบสถ์นั่น

"รสชาติของการอยู่คนเดียวในสถานที่อันสงัดและดึกสงัดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจบอกให้เข้าใจกันได้ด้วยตัวหนังสือ หรือด้วยการนึกเทียบเอาจากการที่อยู่ในที่อันเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่เคยไปอยู่ มีอำนาจอะไรอย่างหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าได้ริบเอากำลังใจไปเสียหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้สึกตนว่าได้อยู่ผู้เดียวในที่ที่ปราศจากการคุ้มครอง ยิ่งเมื่อมีอะไรหวอ โครมคราม วูดวาดออกมา ในเวลาที่ไม่รู้สึกตัวและเพิ่งประสบเป็นครั้งแรกย่อมเป็นการเหลือวิสัยที่จะไม่ให้เกิดการสะดุ้ง ครั้นกำลังใจค่อยเข้มแข็งขึ้น สติค่อยรวดเร็วขึ้น ความเคยชินค่อยมากขึ้น สิ่งนั้นๆ ค่อยๆ กลายเป็นธรรมดาไป"

"บางวันฉันเดินออกมาเพื่อไปบิณฑบาต ... กลางทางเดินแคบๆ ฉันเคยยืนคอยนากถึกโทนตัวผู้ ทำอาการคล้ายกับท้าทาย ... ฉันซึ่งไม่เคยประสบพบปัญหาชนิดนี้มาก่อน ทั้งอยู่ในระยะแรกของการฝึกฝนตนให้เป็นไปตามแนวธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันสูงสุด ในการที่จะทั้งไม่สู้ไม่ป้องกันตัว แต่ก็ไม่หนีและไม่กลัวไม่ถอยเช่นนี้ จะให้ฉันทำอย่างไรอีก นอกจากยืนคอยว่ามันจะหลีกไปเอง"

"มันมีอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งควรจะนับว่าเป็นของวิเศษมาก และเคยเป็นที่พึ่งของฉันมามากแล้วคือ ความรักในการศึกษา อยากรู้อยากทดลอง เมื่อกำลังใจและสติยังสมบูรณ์อยู่กับตัวก็อยากลองไปเสียทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่อยากลองให้เสือกัด งูกัด หรือให้ผีหลอก และให้ภูติหรือเปรตมาหาสนทนาปราศรัยกัน ทั้งนี้เพื่อถือเอาเป็นโอกาสสำหรับศึกษาสิ่งเหล่านั้นด้วย และทดลองกำลังน้ำใจของตนเองด้วย"

"สิ่งที่เคยกลัวกลายเป็นของธรรมดามากเข้า จนบางครั้งกลายเป็นวัตถุแห่งความขบขัน และเราจะพบตัวเราเองว่าเปลี่ยนไปจนจะเป็นคนละคน และเมื่อเป็นไปโดยทำนองนี้มากเข้า อุปสรรคอันเกิดจากความกลัวที่คอยกีดกันความเป็นสมาธิแห่งจิตก็มีน้อยเข้าและหมดสิ้นไปในที่สุด สามารถจะนั่งอยู่คนเดียวในที่โล่งในเวลากลางคืนอันสงัด โดยปราศจากเครื่องคุ้มครองอย่างใด นอกจากจีวรที่ห่มอยู่ และมีจิตแน่วไปในการฝึกฝนได้ตามปรารถนา"

"ฉันเคยเข้าใจว่า เราอาจพึ่งพาสิ่งคุ้มครองเช่นรั้วหรือกลดเป็นต้น ช่วยบรรเทาความหวาดระแวงเมื่อจะต้องนั่งอยู่คนเดียวในที่เปลี่ยว แต่นั่นเป็นสิ่งที่ต้องขอบอกกล่าวเพื่อนนักศึกษาไว้ทั่วๆ กันว่า ไม่น่าจะใช้เลยคือเราจะไม่ได้จิตใจอันใหม่ ที่เป็นจิตใจอันปล่อยหมด มันยังคงระแวงอยู่นั่นเอง ไม่ให้เกิดกำลังใจอันเข้มแข็งเพียงพอ พอไม่มีสิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องอุ่นใจ ความขลาดชนิดของคนธรรมดาก็มีมาอีก"

"ฉันยังรู้สึกพอใจสภาพเป็นอยู่ของสวนโมกข์เมื่อครั้งนั้นอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งฉันรู้สึกชัดแก่ใจว่า มันได้ให้ประโยชน์บางประการแก่ฉัน ชนิดที่สวนโมกข์ในสภาพปัจจุบันซึ่งเตียนสะอาดมีที่พักสบาย ไม่อาจจะให้ได้เลย เรื่องนี้เป็นหลักที่จะลืมเสียมิได้ สำหรับผู้สนใจการฝึกฝนทางจิต"

(พุทธทาสภิกขุ, สิบปีในสวนโมกข์)