สติ ปัญญา สัมปชัญญะ ต่างกันอย่างไร?

Share

งานจดหมายเหตุ,

c01472 crsm
 
สติ คำนี้ก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยเข้าใจกัน ยังเถียงกันอยู่ ยังถามกันให้ ๆ วุ่นไปหมดว่าคืออะไร อย่างไร มันต่างกับปัญญาอย่างไร มันต่างกับสัมปชัญญะอย่างไร ๓ คำนี้ช่วยจำไว้ให้ดีเถิด สติสัมปชัญญะนี้คู่หนึ่งแล้ว และสติปัญญาอีกคู่หนึ่ง แต่แล้วมันก็มีเพียง ๓ ตัว ๓ เรื่อง สติตัวหนึ่ง สัมปชัญญะตัวหนึ่ง ปัญญาตัวหนึ่ง
 
 ปัญญา คือ ความรู้ รอบรู้ เพราะ ป มันแปลว่ารอบ ญา แปลว่ารู้ ป กับ ญา นี้แปลว่ารอบรู้ เรียกว่าปัญญา เราจะต้องมีปัญญา แล้วปัญญานี้ก็มีหลายระดับ อย่างได้ยินได้ฟังเขียนไว้นี้ก็เป็นปัญญารอบรู้ ใน ๆ ระดับที่ว่า ฟัง แล้วจำไว้ จดไว้ ก็เป็นปัญญาระดับหนึ่งเหมือนกัน เขาเรียกว่า สุตปัญญา
 
ทีนี้เอาไอ้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้ไปทำ Reasoning ค้นหาเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ทดสอบโดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติก็ได้ ไม่ต้องถึงกับปรัชญาหรอก มันจะเพ้อเจ้อ เอาเพียงตรรกสามัญสำนึก ไอ้ตรรกะสามัญสำนึกนี้ก็ได้ หรือตามกฎของธรรมชาติก็ได้ เราก็จะมีความเข้าใจยิ่งขึ้นในสิ่งนั้นโดยอาศัยไอ้ Reasoning นี้

013 cr
 
การทดสอบด้วยเหตุผล ก็จะเกิดปัญญาไอ้ที่สูงกว่านั้นขึ้นมา ปัญญาที่มาจากการทดสอบ คิดค้นด้วยเหตุผล ทีแรกปัญญาได้ยินได้ฟังได้อ่าน ก็เป็นปัญญาชนิดดิบ ปัญญาดิบ ๆ เป็นวัตถุดิบนะ มันก็ไปทำให้มันเป็นปัญญาที่ดีกว่านั้นโดย Reasoning มันก็เข้าโรงงานผลิตออกมาเป็นปัญญาชนิดนี้

ทีนี้ปัญญาชนิดนี้ก็ยังไม่ดีไม่เก่งเท่ากับปัญญาที่เกิดมาจากการทำให้เห็นแจ้ง ต้องเป็นสิ่งที่ Experience กันจริง ๆ Realization Experience อะไรต่าง ๆ จริง ๆ ด้วยจิตเดิมนั้น คือเรื่องที่ผ่านไปแล้วนะ นี้ก็ปัญญาของชั้นสุดยอด เรียกว่า ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด

อย่างนี้มันไม่ทำได้ด้วยการใช้เหตุผล มันเหนือขึ้นมาอีก มันเหนือการใช้เหตุผล ต้องเป็นสิ่งที่เราได้ผ่านไปจริง เช่นความทุกข์เราผ่านไปแล้ว เราก็รู้สึกว่าความทุกข์เป็นอย่างไร ว่า ตัวกู-ของกู มันเกิดขึ้นมาแล้ว มันเกิดเป็นไฟขึ้นมาอย่างไร อย่างนี้ไม่ต้องใช้เหตุผล แต่เราอาศัยความรู้ที่เราได้ยินได้ฟังหรือเคยใช้เหตุผลมานั่นแหละ มาเข้าใจสิ่งนี้ได้ เรียกชื่อสิ่งนี้ถูก มันดียิ่งขึ้นไปอีก นี้ก็เรียกว่า ปัญญารู้แจ้งแทงตลอด มันเป็นไอ้ Realization หรือว่ามันเป็น Wisdom เป็นไอ้ยิ่งขึ้นไปกว่าความเข้าใจ นี้เรียกว่าปัญญานั้นน่ะ

c01497
 
๓ อย่างนี้เรียกว่าปัญญา แต่ว่ามันเป็นเหมือนกับที่ว่า เรารวบรวมไว้ ประมวลไว้ สร้างไว้ สะสมไว้ มันเป็นอะไร มันเป็นของนิ่ง ที่อยู่นิ่ง ไม่ๆๆ มี Dynamic อะไรเพราะมันนิ่ง สะสมเข้าไว้ ใส่ยุ้งใส่ฉางเข้าไว้นี้ มันอยู่อย่างนี้ ทีนี้ นี้เรามี ทุกคนก็มีมากขึ้นจากการสะสม การได้เห็น ได้ฟัง ได้อ่าน อะไรสักอย่างหนึ่งด้วยการใช้เหตุผลอย่างด้วยการผ่านไปๆๆ ด้วยจิต ผ่านเรื่องทางจิตไปมากนั้นก็มี
 

 มีสติคำเดียวนะ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดตัวกูหรือว่าแก้ไขตัวกูที่เกิดแล้วก็ตาม

 
 ทีนี้ไอ้ปัญญาอย่างนี้แหละ ถ้ามันถูกดึงไปใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มัน ๆ เกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น อะไรนี้ อย่างนั้นก็เรียกว่าสติ มันแปลว่าความระลึกได้ คือเอาปัญญาเฉพาะกรณีนั้น ๆ วิ่งไปทันท่วงทีในกรณีนั้น ๆ ทำให้เรารู้สึกได้ ระลึกได้ นั่นเป็นปัญญาที่ไปในรูปของสติที่ระลึกได้ ทีนี้มันต้องการเวลาอยู่นานกว่านั้น มันก็ให้มีสัมปชัญญะให้คุมไว้ อย่าให้หนีกลับไปไหนเสีย ก็เป็นเรื่องของความรู้นั้นอีกเหมือนกัน ปัญญาที่เอาที่พาไปทันท่วงที เป็นสติ แล้วก็มีไว้จนกว่าจะเสร็จกรณี เรื่องนี้ ปัญหานี้ จะแก้ปัญหานี้ไปเรื่อย ๆ นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ

คำพูดมีเพียงคำสั้น ๆ หรือลุ้นว่ามีสติคำเดียวนะ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดตัวกู หรือว่าแก้ไขตัวกูที่เกิดแล้วก็ตาม เรียกว่าสติตัวเดียว แต่แท้จริงมันเป็นตั้ง ๓ ตัว คือทั้งสัมปชัญญะและทั้งปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา แล้วสติจะเอาอะไรไป จะมีสติได้อย่างไร จะระลึกอะไรได้ ที่เราระลึกได้ เราระลึกซึ่งความจริง ความรู้ ความถูกต้องไอ้ที่เราเคยเข้าใจ เคยนั่นแล้ว ความระลึกได้นั่นแหละจำเป็นมาก ถ้าเราระลึกไม่ได้มันก็เป็นหมันหมด เหมือนว่านักเรียนเรียนอะไรไปมากในโรงเรียนตลอดทั้งปี สะสมไว้เป็นความรู้มาก แต่เหมือนคราวสอบไล่มันนึกไม่ได้ มันระลึกไม่ได้ มันก็เลยเป็นหมันหมด จะสำเร็จประโยชน์อีกทีก็คือคราวที่มันระลึกได้ นึกได้ทันท่วงทีทันเวลา

ก็ลองไปสังเกตดู ไอ้บางอย่างบางเรื่องนั้นเรานึกไม่ทันความ ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกหรือฉุกเฉิน เราก็พ่ายแพ้ไปแล้ว ถ้าไปนึกได้ทีหลังจะมีประโยชน์อะไร ดังนั้นไม่ว่าอะไรมันจะต้องมีขณะจำกัดสำหรับสติที่ระลึกได้ทันท่วงที เอาความรู้หรือปัญญาที่เหมือนกับอาวุธนี้ ไปใช้ฟาดฟันไอ้สิ่งที่มันเป็นปัญหาหรือข้าศึกให้มันพ่ายแพ้ไป

พุทธทาสภิกขุ
ที่มา: การบรรยาย อบรมนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๑๖วันที่แสดง ๒๐ ตุลาคม ๒๕๑๖
อ่านฉบับเต็มได้ที่ www.bia.or.th/ebook